นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า วันนี้ (18 พ.ย. 64) ได้ประชุมร่วมกับทางตำรวจ เพื่อหารือแนวทางดำเนินการในคดีสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับคดีตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อดูแลแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนในคดีที่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพ์ รวมถึงการหลอกลวง ฉ้อโกง และธุรกิจผิดกฎหมายทางออนไลน์
โดยข้อสรุปจากการหารือจะมีการกระจายอำนาจรับผิดชอบเกี่ยวกับการสอบสวนคดีด้านนี้ไปยังสถานีตำรวจทุกแห่ง ซึ่งรวมถึงสถานีตำรวจภูธรทั่วประเทศ เพื่อให้ช่วยรับคดี ประชาชนสามารถเข้าไปแจ้งความได้ เพื่อลดจำนวนคดีสะสมที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ที่ส่วนกลาง
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีอำนาจตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะมอบอำนาจให้ตำรวจในพื้นที่ สามารถดำเนินการได้ตามคดีที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ที่ผ่านมาได้ลงนามมอบอำนาจนี้ให้กับตำรวจไซเบอร์ ของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ขั้นตอนจากนี้ก็จะมอบอำนาจให้ถึงระดับตำรวจภูธร เพื่อรองรับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปของการซื้อขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ ที่ขยายตัวอย่างมาก ส่งผลให้จำนวนคดีด้านนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน กระทรวงดิจิทัลฯ และตำรวจ ยังให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกัน มีการรวบรวมปัญหาที่เกี่ยวกับคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และ พ.ร.บ.ไซเบอร์ฯ เพื่อสรุปภายในเวลา 10.00 น. และส่งต่อเคสที่มีการกระทำความผิดมายังกระทรวงฯ เพื่อดำเนินงานประสานขอคำสั่งศาลให้มีการปิดกั้น รวมถึงประสานไปยังแพลตฟอร์มผู้เกี่ยวข้องกรณีมีการละเมิด Community Standard ของแพลตฟอร์มนั้นๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีต่อไปภายในวันนั้นเลย เพื่อให้มีการดำเนินคดีได้รวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ เตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขป้ญหาความล่าช้าในการประสานขอข้อมูลเส้นทางการเงินผู้กระทำผิด หรือฉ้อโกงในการซื้อขายออนไลน์จากธนาคารบางแห่ง ส่งผลกระทบกับความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนผู้เสียหาย คาดว่าที่ผ่านมา ธปท. ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลธนาคารในประเทศไทย อาจไม่ได้กำชับในประเด็นดังกล่าว ทำให้ธนาคารบางแห่งไม่ให้ข้อมูลรวดเร็วเพียงพอ ทำให้สอบสวนล่าช้า
นายชัยวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการแก้ไขปัญหาแล้ว แนวทางป้องกันปัญหาควรควบคู่กันไปด้วย โดยมองว่าในการซื้อขายออนไลน์นั้น ผู้ทำธุรกรรมควรมีการใช้ระบบบัญชี Escrow ที่มีระบบคนกลาง อย่างเช่น ธนาคาร เป็นตัวกลางในการรับเงินจากผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ และเมื่อมีกรณีร้องเรียนสินค้าไม่ตรงปก ตรวจสอบพบผู้ขายหลอกลวงฉ้อโกง ก็ต้องโอนเงินคืนให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันระบบนี้มีแล้วในหลายประเทศ ได้แก่ ระบบ PayPal ของสหรัฐอเมริกา โดยคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ระบบนี้ควรเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งธนาคารสามารถให้บริการได้โดยคิดค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อย หรือไม่คิดเลย เพื่อสร้างความมั่นใจในการทำธุรกรรมทางออนไลน์ให้กับประชาชน