นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการลักลอบนำยาอีบดเป็นผงบรรจุลงในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ซองครีมเทียม ซองกาแฟ 3 in 1 โดยพบแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นทางสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายจะออกฤทธิ์ภายในเวลา 30-45 นาที และฤทธิ์ของยาจะอยู่ในร่างกายได้นานประมาณ 6-8 ชั่วโมง ซึ่งจะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทในระยะเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นจะหลอนประสาทอย่างรุนแรง ผู้เสพจะรู้สึกร้อน เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง การได้ยินเสียง และการมองเห็นแสงสีต่างๆ ผิดไปจากความเป็นจริง เคลิบเคลิ้ม รู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา และไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
ด้านนายแพทย์สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี กล่าวเพิ่มเติมว่า ยาอีจะเข้าไปทำลายระบบประสาท ทำให้เซลล์สมองส่วนที่ทำหน้าที่หลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสำคัญในการควบคุมอารมณ์ทำงานผิดปกติ โดยจะหลั่งสารนี้ออกมามากกว่าปกติทำให้สดชื่น อารมณ์ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปสารดังกล่าวจะลดน้อยลง ทำให้ผู้เสพเข้าสู่สภาวะอารมณ์เศร้าหมองหดหู่ เกิดอาการซึมเศร้า และอาจกลายเป็นโรคจิตประเภทซึมเศร้า มีแนวโน้มการฆ่าตัวตายสูงกว่าคนปกติ
นอกจากนี้ การที่สารเซโรโทนินลดลง จะทำให้การนอนหลับผิดปกติ เวลาการนอนลดลง หลับไม่สนิท อ่อนเพลียขาดสมาธิ บางรายนิยมเสพพร้อมกับดื่มแอลกอฮอล์ หรือเสพยาชนิดอื่นร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการช็อกและเสียชีวิต
ก่อนหน้านี้มีเพจเฟซบุ๊กหลายเพจออกมาเตือนว่า ในโลกออนไลน์มีการเปิดขายยาอีผสมกาแฟเป็นจำนวนมาก พร้อมกับแจ้งเตือนไปยังผู้ปกครองให้เฝ้าระวังบุตรหลาน โดยมีรายงานว่า ยาอีผสมกาแฟที่กำลังระบาดมีราคาซองละประมาณ 1,000-2,000 บาท แต่มีความอันตรายไม่ต่างจากเคนมผง