จากกรณีที่มีข่าวสารที่แชร์ต่อกันมาระบุ สนช.ชุดปัจจุบัน จำนวน 63 คน (จากสมาชิกทั้งหมด 233 คน) ซึ่งเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามกำลังพยายามผลักดันกฎหมาย เพื่อให้มีการจัดตั้งศาลชารีอะห์ (ศาลที่พิพากษาตามหลักศาสนาอิสลาม) ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งหากคนในศาสนาอื่นมีคดีความกับคนไทยมุสลิมแล้ว ก็ต้องตัดสินตามหลักศาสนาอิสลาม โดยมีผู้พิพากษาเป็นนักบวชในศาสนาอิสลามนั้น กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและยืนยันว่า ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จทั้งสิ้น
สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดปัจจุบันมีสมาชิกที่นับถือศาสนาอิสลาม จำนวน 4 คนเท่านั้น ได้แก่ นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล, ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ (เข้านับถือศาสนาอิสลามตามคู่สมรส) นายวิทยา ฉายสุวรรณ และนายอนุมัติ อาหมัด (ลาออกเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 62)
ส่วนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม ซึ่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและผ่านความเห็นชอบของ สนช. ชุดปัจจุบันมีเพียง 1 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2559 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 2559 เป็นต้นมา
ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม จำนวน 4 ฉบับ ได้แก่
- พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489
- พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ. 2524 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
- พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540
- พระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2545
ส่วนศาลชารีอะห์ คือ ศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีความโดยใช้หลักศาสนาอิสลามเป็นสำคัญ ซึ่งจะต้องมีผู้รู้ทางศาสนาเข้าร่วมในการพิจารณาพิพากษาคดีด้วย ปัจจุบันใช้อยู่ในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม เช่น ซาอุดิอาระเบีย อิรัก อิหร่าน ฯลฯ
สำหรับประเทศไทย ไม่มีการจัดตั้งศาลชารีอะห์แต่อย่างใด จะมีก็แต่การนำหลักศาสนาอิสลามในเรื่องครอบครัวและมรดกมาใช้สำหรับพิจารณาพิพากษาคดีที่คู่ความในคดีทั้ง 2 ฝ่ายเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม และอยู่ในเขตอำนาจศาลในพื้นที่ จ.นราธิวาส จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.สตูล เท่านั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 (ข้อ 3.1) เท่านั้น ดังนั้น ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวไม่เป็นความจริง หากผู้ใดนำเข้าหรือเผยแพร่ต่อถือว่ามีความผิดตามกฎหมายด้วย
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมการปกครอง สามารถติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.dopa.go.th หรือโทร. 0-2221-0151-8