พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (30 ก.ย.) ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนยกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2564 โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เข้าร่วมประชุม ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (JCM) เมื่อ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งประเทศไทยได้ทำความตกลงทวิภาคีความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นในการพัฒนากลไกเครดิตร่วม เกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต โดยมีโครงการที่ได้รับการรับรอง คาร์บอนเครดิตแล้วจำนวน 5 โครงการ มีปริมาณคาร์บอนเครดิตจำนวน 4,032 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และรับทราบมาตรการปรับ คาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน(CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่ง EU จะเริ่มบังคับใช้ในปี 2566 กับสินค้า 5 ประเภท ได้แก่ ซีเมนต์,ไฟฟ้า,ปุ๋ย,เหล็กและเหล็กกล้ารวมทั้ง อลูมิเนียม จากนั้นที่ประชุมได้มีการพิจารณา เห็นชอบ ร่างยุทธศาสตร์ระยะยาว การพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ ของประเทศไทย ตามที่สำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกำหนดให้ทุกประเทศจัดทำ และเห็นชอบ รายงานการติดตามประเมินผล การลดก๊าซเรือนกระจก ตามมาตรการภาคพลังงาน และขนส่ง ปี62 ทั้งนี้ ประเทศไทย สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้จำนวน 64.20 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็น ร้อยละ17.49 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม(ร้อยละ7-20) ภายในปี 2563
พล.อ.ประวิตร แสดงความห่วงใยต่อสภาวะโลกร้อนที่ยังมีแนวโน้มมากขึ้น จากสภาพภูมิอากาศของโลกโดยรวม ซึ่งประเทศไทยโดยรัฐบาลได้พยายามเข้ามามีส่วนร่วม ผลักดัน และปฏิบัติตามมาตรการของ UN อย่างจริงจัง พร้อมทั้งขอบคุณ ทส. และทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนที่ได้ร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งด้านภาคพลังงานและขนส่งรวมทั้งการปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกในสาขาป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ผ่านมาด้วยดี พร้อมขอให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วประเทศ ร่วมกันรณรงค์ ลดก๊าซเรือนกระจก อย่างต่อเนื่อง และจริงจังกัน ต่อไป
ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (JCM) เมื่อ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งประเทศไทยได้ทำความตกลงทวิภาคีความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นในการพัฒนากลไกเครดิตร่วม เกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต โดยมีโครงการที่ได้รับการรับรอง คาร์บอนเครดิตแล้วจำนวน 5 โครงการ มีปริมาณคาร์บอนเครดิตจำนวน 4,032 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และรับทราบมาตรการปรับ คาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน(CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่ง EU จะเริ่มบังคับใช้ในปี 2566 กับสินค้า 5 ประเภท ได้แก่ ซีเมนต์,ไฟฟ้า,ปุ๋ย,เหล็กและเหล็กกล้ารวมทั้ง อลูมิเนียม จากนั้นที่ประชุมได้มีการพิจารณา เห็นชอบ ร่างยุทธศาสตร์ระยะยาว การพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ ของประเทศไทย ตามที่สำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกำหนดให้ทุกประเทศจัดทำ และเห็นชอบ รายงานการติดตามประเมินผล การลดก๊าซเรือนกระจก ตามมาตรการภาคพลังงาน และขนส่ง ปี62 ทั้งนี้ ประเทศไทย สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้จำนวน 64.20 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็น ร้อยละ17.49 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม(ร้อยละ7-20) ภายในปี 2563
พล.อ.ประวิตร แสดงความห่วงใยต่อสภาวะโลกร้อนที่ยังมีแนวโน้มมากขึ้น จากสภาพภูมิอากาศของโลกโดยรวม ซึ่งประเทศไทยโดยรัฐบาลได้พยายามเข้ามามีส่วนร่วม ผลักดัน และปฏิบัติตามมาตรการของ UN อย่างจริงจัง พร้อมทั้งขอบคุณ ทส. และทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนที่ได้ร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งด้านภาคพลังงานและขนส่งรวมทั้งการปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกในสาขาป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ผ่านมาด้วยดี พร้อมขอให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วประเทศ ร่วมกันรณรงค์ ลดก๊าซเรือนกระจก อย่างต่อเนื่อง และจริงจังกัน ต่อไป