นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมฯ ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 2 หมู่ 11 หมู่ 12 ต.รางบัว และหมู่ 10 ต.จอมบึง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ว่า ได้รับความเดือดร้อน และเสียหายจากการที่นายก อบต.รางบัวและปศุสัตว์ราชบุรี ได้อนุญาตให้กำนันตำบลรางบัว และนายทุนทำฟาร์มเลี้ยงไก่ขนาดใหญ่ 2 ฟาร์ม กว่า 1 แสนตัว ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนจากกลิ่นเหม็น น้ำเสีย และมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรคไข้หวัดนก หรือเชื้อ H5N1 และเชื้อ H5N8 จนสมาคมฯ ต้องนำชาวบ้านไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพชรบุรี เมื่อ 29 พ.ย.62 แล้วนั้น
บัดนี้ศาลปกครองเพชรบุรีได้มีคำพิพากษาออกมาแล้ว เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยมีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ประเภทการเลี้ยงไก่ ลงวันที่ 11 ก.ย.62 และใบอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตฟาร์มของกำนันในพื้นที่ดังกล่าว ฉบับวันที่ 10 ก.ย.63 ที่นายก อบต.รางบัวออกให้เสีย โดยให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่มีคำสั่งออกใบอนุญาตและคำสั่งต่ออายุใบอนุญาตโดยทันที
โดยสาเหตุที่ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตฟาร์มเลี้ยงไก่ดังกล่าว สืบเนื่องมาจากการใช้อำนาจของ นายก อบต.รางบัว ไม่เป็นไปตามข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตำบลรางบัว เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงและปล่อยสัตว์ พ.ศ.2555 และข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตําบลรางบัว เรื่อง การควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ.2552 ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่า “สถานที่เลี้ยงสัตวต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาคมหมู่บ้านหรือแหล่งชุมชนในรัศมี 1,500 เมตร เป็นจํานวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของครัวเรือน และต้องไม่ก่อให้เกิดเหตุรําคาญต่อประชาชน หรือแหล่งชุมชนใกล้เคียง”
แต่ปรากฏว่าฟาร์มเลี้ยงไก่ของกำนันในพื้นที่มีการจัดทำประชาคม แต่ชาวบ้านเห็นชอบไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด อีกทั้งยังไม่ผ่านการตรวจรับรองมาตรฐานฟาร์มจากปศุสัตว์ เพื่อป้องกันโรคระบาดตามประกาศของจังหวัดราชบุรีเสียก่อน แต่ทว่านายก อบต.รางบัวกลับให้ใบอนุญาตให้เลี้ยงได้ จึงถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมายโดยชัดแจ้ง
ทั้งนี้ เนื่องจากเจ้าของฟาร์มดังกล่าวมีตำแหน่งเป็นถึงกำนัน ถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พ.ร.บ.ลักษณะการปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 และที่แก้ไขเพิ่มเติม การมาดำเนินการจัดทำฟาร์มเลี้ยงไก่โดยไม่เป็นไปตามกฎหมาย อาจเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่ และอาจมีความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับด้วย สมาคมฯ จึงจะนำคำพิพากษาไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการไต่สวน และวินิจฉัยเอาผิดตามกฎหมายในขั้นตอนต่อไปด้วย