xs
xsm
sm
md
lg

"เสี่ยเฮ้ง"สั่งกรมจัดหางานจัดสถานที่กักกันรองรับแรงงานไทยกลับจาก ตปท.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ยกเลิกสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine : SQ) ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นมา จึงมอบหมายกรมการจัดหางานจัดเตรียมสถานที่กักกันสำหรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากการทำงานในต่างประเทศ โดยเชิญชวนสถานประกอบการธุรกิจโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเป็นสถานที่กักกันทางเลือก (Alternative Quarantine : AQ) จากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีสถานประกอบการที่สนใจเสนออัตราค่าใช้จ่ายสำหรับการบริการแบบครบวงจร ในราคาพิเศษสำหรับแรงงานไทย จำนวน 87 แห่ง

หลังพิจารณาจากอัตราค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมและคุ้มค่าสำหรับแรงงานแล้ว คณะทำงานได้คัดเลือกสถานประกอบการธุรกิจโรงแรมเข้าร่วมเป็นสถานที่กักกันทางเลือก (AQ) ทั้งสิ้นจำนวน 21 แห่ง โดยมีให้เลือกทั้งแบบห้องพักเดี่ยว และห้องพักคู่ มีค่าใช้จ่ายสำหรับการบริการแบบครบวงจรตลอดระยะเวลาการกักตัว 14 วัน สำหรับห้องพักเดี่ยว 20,000-24,000 บาท/ห้อง และห้องพักคู่ 32,450-47,800 บาท/ห้อง ขึ้นอยู่กับโรงแรมที่ผู้ใช้บริการสมัครใจเลือก ซึ่งนอกจากช่วยให้แรงงานไทยประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งได้ใช้บริการสถานที่กักกันที่มีมาตรฐานการป้องกันและควบคุมโรคแล้ว ค่าใช้จ่ายที่แรงงานจ่ายยังสร้างรายได้ให้สถานประกอบการธุรกิจโรงแรมที่ประสบปัญหาจากสถานการณ์โควิด-19 ไปพร้อมกัน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ข้อมูลจากกรมการจัดหางานพบว่า เดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา แรงงานไทยในต่างประเทศส่งรายได้กลับประเทศผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน 16,662 ล้านบาท หากรวมยอดสะสมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ต.ค.63 – มิ.ย.64) มีรายได้ที่ส่งกลับมาทั้งสิ้น 134,409 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ต้องให้ความสำคัญ ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน กำชับกระทรวงแรงงานดูแลให้คนไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เพื่อได้รับสวัสดิการ และการปฏิบัติตามสิทธิที่พึงมี

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การจองสถานที่กักกันทางเลือก (Alternative Quarantine : AQ) สำหรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากการทำงานในต่างประเทศ จะต้องแนบสำเนาแบบรายการการเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร (แบบ จง. 12) หรือสำเนาหลักฐานรอยตราประทับของพนักงานเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจคนหางานที่แสดงว่าแรงงานไทยนั้นได้แจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรณีแรงงานไทยไม่มีเอกสารหรือหลักฐานดังกล่าว ให้ติดต่อขอรับหนังสือรับรองการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ณ สำนักงานแรงงานไทย สถานเอกอัครราชทูตไทย หรือสถานกงสุลไทยที่ประจำอยู่ในประเทศที่แรงงานนั้นทำงานอยู่ โดยแรงงานไทยเป็นผู้ดำเนินการจองสถานที่กักกันและชำระค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนแก่สถานประกอบการจนแล้วเสร็จก่อนเดินทางกลับ เพื่อนำเอกสารการจองห้องพักประกอบการยื่นขอใบ Certificate of Entry : COE เพื่อเข้าราชอาณาจักรกับสถานเอกอัครราชทูตในประเทศนั้นๆ ซึ่งหากแรงงานไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง สามารถติดต่อสำนักงานแรงงานในต่างประเทศหรือสถานเอกอัครราชทูตในประเทศนั้นๆ ให้ช่วยดำเนินการ หรือประสานกับเจ้าหน้าที่ของกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศเพื่อติดต่อญาติในประเทศไทยให้ดำเนินการได้

อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ปัจจุบันสถานประกอบการธุรกิจโรงแรม 21 แห่ง ที่เข้าร่วมเป็นสถานที่กักกันทางเลือก มีห้องพักเพื่อให้บริการทั้งสิ้น 3,546 ห้อง รองรับผู้ใช้บริการสูงสุด 5,614 คน แบ่งเป็นห้องพักเดี่ยว จำนวน 1,478 ห้อง และห้องพักคู่ 2,068 ห้อง อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 7 แห่ง ได้แก่ โรงแรมไอบิส สไตล์ กรุงเทพ ข้าวสาร เวียงใต้ โรงแรมบางกอก พาเลซ โรงแรมเอวาน่า แกรนด์ แอนด์ คอนเวนชั่น เซนเตอร์ โรงแรมแอสพิรา สกาย สุขุมวิท 1 โรงแรมอัญญา นานา แอท สุขุมวิท โรงแรมรอแยล รัตนโกสินทร์ และโรงแรมเมเปิล พื้นที่จังหวัดนนทบุรี จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมลักซอร์ และโรงแรมเดอะ เล็คกาชี พื้นที่จังหวัดชลบุรี จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ โรงแรมทรอปิคาน่า พัทยา โรงแรมแกรนด์ เบลลา พัทยา โรงแรมโฮเทล เจ เรสสิเด้นซ์ โรงแรมเจ โฮเทล พัทยา และโรงแรมเจ อินสไปร์ พัทยา พื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 7 แห่ง ได้แก่ โรงแรมเดอะโขทัย ลัคซูรี่ ดีไซน์ โรงแรมเอ็นวายซิตี้ โรงแรมโอทู ลักซ์ชัวรี่ โรงแรมเอชไฟว์ ลักซ์ซูรี่ โรงแรมโซ บูทิค โรงแรมเดอ โทรจันทร์ และโรงแรมเดอะกรีนวิว

สำหรับสถานประกอบการโรงแรมที่ต้องการเข้าร่วมเป็นสถานที่กักกันสำหรับแรงงานไทย ยังสามารถยื่นแจ้งข้อเสนอต่อกรมการจัดหางานได้ โดยคณะทำงานฯ จะพิจารณาความเหมาะสมและประกาศเพิ่มเติมต่อไป