นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงประสบการณ์การทำงานของพรรคกล้า โครงการ กล้าหาเตียง ในวันนี้ (23 ก.ค.) โดยระบุว่า ปัญหาอุปสรรคมากมายจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน กว่าที่ผู้ป่วยโควิด-19 จะสามารถเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลในระดับต่างๆ ได้ จากที่ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้ป่วย เมื่อกลางดึกวันที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ผู้ป่วยสูงวัยมีโรคประจำตัว ทั้งโรคไตและเบาหวาน ทีมอาสาพรรคกล้าาพยายามช่วยเต็มที่ แต่ถูกโรงพยาบาลประจำของผู้ป่วยปฏิเสธที่จะรับดูแล เราพยายามหาช่องทางอื่น และโทรเบอร์ 1669 ตามคำแนะนำของโรงพยาบาล แต่ถูกตัดสายทุก 4 นาที
ส่วนเบอร์ 02-2705685-9 ของกองทัพบกที่แจ้งว่าเปิดรับสายตลอด 24 ชั่วโมงนั้น โทรไม่เคยติด จนวันต่อมา อาการผู้ป่วยทรุดลงอย่างรวดเร็ว จึงตัดสินใจส่งรถไปรับ เพื่อจะพาไปโรงพยาบาล แต่รถไปไม่ทัน ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว และได้ทำการฌาปณกิจในทันที สร้างความหดหู่ใจกลุ่มอาสา แต่เทียบไม่ได้กับความรู้สึกของครอบครัวที่ต้องสูญเสียคนที่รักไป
ทั้งนี้ ปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขคือ การเข้าถึงระบบการรักษาผ่านช่องทาง Call Center รัฐบาลควรเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มจำนวนผู้รับสาย เพิ่มข้อมูลให้กับผู้รับสาย ให้เขามีข้อมูลเพียงพอ เช่นเดียวกับประเด็นยา ที่ยังถกเถียงกัน ข้อเท็จจริงวันนี้คือ ระบบสาธารณสุขของรัฐ ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนามได้ ผู้ป่วยที่ติดค้างอยู่ตามวัด ตามชุมชน จำนวนมากเข้าไม่ถึงยา
ส่วนกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายแยกตัวผู้ป่วยออกจากครอบครัว โดยให้ สปสช.ดูแลเรื่องยา อาหารสามมื้อ และให้คำปรึกษาทางการแพทย์นั้นจากตรวจสอบพบว่า ผู้ที่เข้าระบบของเราแทบไม่มีใครได้รับยา หรือรับการช่วยเหลือจากราชการ ตามนโยบายที่กำหนดไว้ ซึ่งนโยบายเรื่องหนึ่ง แต่ผลในทางปฏิบัติกลับเป็นหนังคนละม้วน
ส่วนเบอร์ 02-2705685-9 ของกองทัพบกที่แจ้งว่าเปิดรับสายตลอด 24 ชั่วโมงนั้น โทรไม่เคยติด จนวันต่อมา อาการผู้ป่วยทรุดลงอย่างรวดเร็ว จึงตัดสินใจส่งรถไปรับ เพื่อจะพาไปโรงพยาบาล แต่รถไปไม่ทัน ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว และได้ทำการฌาปณกิจในทันที สร้างความหดหู่ใจกลุ่มอาสา แต่เทียบไม่ได้กับความรู้สึกของครอบครัวที่ต้องสูญเสียคนที่รักไป
ทั้งนี้ ปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขคือ การเข้าถึงระบบการรักษาผ่านช่องทาง Call Center รัฐบาลควรเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มจำนวนผู้รับสาย เพิ่มข้อมูลให้กับผู้รับสาย ให้เขามีข้อมูลเพียงพอ เช่นเดียวกับประเด็นยา ที่ยังถกเถียงกัน ข้อเท็จจริงวันนี้คือ ระบบสาธารณสุขของรัฐ ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนามได้ ผู้ป่วยที่ติดค้างอยู่ตามวัด ตามชุมชน จำนวนมากเข้าไม่ถึงยา
ส่วนกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายแยกตัวผู้ป่วยออกจากครอบครัว โดยให้ สปสช.ดูแลเรื่องยา อาหารสามมื้อ และให้คำปรึกษาทางการแพทย์นั้นจากตรวจสอบพบว่า ผู้ที่เข้าระบบของเราแทบไม่มีใครได้รับยา หรือรับการช่วยเหลือจากราชการ ตามนโยบายที่กำหนดไว้ ซึ่งนโยบายเรื่องหนึ่ง แต่ผลในทางปฏิบัติกลับเป็นหนังคนละม้วน