นายแพทย์ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย โดยระบุว่า สถานการณ์การระบาดของไทยตอนนี้ถือว่าหนักหน่วงมาก เพราะจำนวนติดเชื้อใหม่ต่อวัน หากดูของเมื่อวานนี้ก็จะพบว่าสูงเป็นอันดับ 5 ของเอเชีย และมีจำนวน active case มากเป็นอันดับ 6 แต่มีจำนวนผู้ป่วยรุนแรงและวิกฤติสูงเป็นอันดับ 3
หากเหลียวมองเพื่อนบ้านรอบไทยเรา ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม กัมพูชา สิงคโปร์ จะพบว่า แม้ประเทศต่างๆ จะระบาดมากเช่นกัน แต่ของเรานั้นหนักที่สุด
ทั้งนี้ ไทยเรามีจำนวนการติดเชื้อเพิ่มรายสัปดาห์สูงขึ้น 26% และจำนวนการเสียชีวิตเพิ่มรายสัปดาห์สูงขึ้น 30% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
ด้วยสถานะเช่นนี้ มาตรการที่จะตัดวงจรการระบาดจึงจำเป็นอย่างยิ่งยวด
สิ่งที่ต้องทำคือ การทำ Full national lockdown 4 สัปดาห์ ควบคู่ไปกับการปูพรมตรวจ โดยมีหลายวิธีการร่วมกัน ทั้งการตั้งจุดให้บริการตรวจให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ บริการตรวจโดยรถเคลื่อนที่ และการ knock the door and do the test รวมถึงการประกาศชะลอการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการเปิดประเทศ
ที่สำคัญคือ การวางระบบสนับสนุนการดำรงชีพ อาหาร น้ำดื่ม ยาสามัญประจำบ้าน ที่พักพิง การสื่อสาร และพลังงาน ให้พร้อมเพียงพอที่ทุกคนจะอยู่ได้ และทำการแจ้งระยะเวลาและความคืบหน้าให้กับประชาชนผ่านสื่อทุกช่องทางอย่างใกล้ชิดสม่ำเสมอ
การเลือกใช้มาตรการจากเบาไปหนักนั้น โอกาสได้ผลน้อยมากสำหรับสถานการณ์ระบาดที่รุนแรงและกระจายไปทั่วทุกจังหวัดแบบที่เรากำลังเผชิญอยู่ และจะยิ่งทำให้ต่อความยาวสาวความยืด ทรัพยากรของทั้งประเทศและของแต่ละครอบครัวจะยิ่งลดน้อยถอยลง ส่งผลต่อความสามารถในการยืนระยะต่อสู้กับโรคระบาดเช่นนี้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หากทำช้าเกินไป ประชาชนจำนวนมากจะไม่ไหว และจะไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรการที่จะประกาศใช้ในอนาคตได้ จะมีโอกาสเกิดความโกลาหลขึ้นได้
จึงอยากเรียนให้ทางรัฐบาลและ ศบค. ได้โปรดทบทวนมาตรการ และเร่งเตรียมการให้พร้อม
สำหรับประชาชนอย่างพวกเราทุกคน ขอเน้นย้ำเรื่องใส่หน้ากากเสมอ สองชั้น ชั้นในเป็นหน้ากากอนามัย ชั้นนอกเป็นหน้ากากผ้า ใส่ให้ปิดจมูกและปิดปากเสมอ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก
หากเหลียวมองเพื่อนบ้านรอบไทยเรา ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม กัมพูชา สิงคโปร์ จะพบว่า แม้ประเทศต่างๆ จะระบาดมากเช่นกัน แต่ของเรานั้นหนักที่สุด
ทั้งนี้ ไทยเรามีจำนวนการติดเชื้อเพิ่มรายสัปดาห์สูงขึ้น 26% และจำนวนการเสียชีวิตเพิ่มรายสัปดาห์สูงขึ้น 30% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
ด้วยสถานะเช่นนี้ มาตรการที่จะตัดวงจรการระบาดจึงจำเป็นอย่างยิ่งยวด
สิ่งที่ต้องทำคือ การทำ Full national lockdown 4 สัปดาห์ ควบคู่ไปกับการปูพรมตรวจ โดยมีหลายวิธีการร่วมกัน ทั้งการตั้งจุดให้บริการตรวจให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ บริการตรวจโดยรถเคลื่อนที่ และการ knock the door and do the test รวมถึงการประกาศชะลอการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการเปิดประเทศ
ที่สำคัญคือ การวางระบบสนับสนุนการดำรงชีพ อาหาร น้ำดื่ม ยาสามัญประจำบ้าน ที่พักพิง การสื่อสาร และพลังงาน ให้พร้อมเพียงพอที่ทุกคนจะอยู่ได้ และทำการแจ้งระยะเวลาและความคืบหน้าให้กับประชาชนผ่านสื่อทุกช่องทางอย่างใกล้ชิดสม่ำเสมอ
การเลือกใช้มาตรการจากเบาไปหนักนั้น โอกาสได้ผลน้อยมากสำหรับสถานการณ์ระบาดที่รุนแรงและกระจายไปทั่วทุกจังหวัดแบบที่เรากำลังเผชิญอยู่ และจะยิ่งทำให้ต่อความยาวสาวความยืด ทรัพยากรของทั้งประเทศและของแต่ละครอบครัวจะยิ่งลดน้อยถอยลง ส่งผลต่อความสามารถในการยืนระยะต่อสู้กับโรคระบาดเช่นนี้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หากทำช้าเกินไป ประชาชนจำนวนมากจะไม่ไหว และจะไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรการที่จะประกาศใช้ในอนาคตได้ จะมีโอกาสเกิดความโกลาหลขึ้นได้
จึงอยากเรียนให้ทางรัฐบาลและ ศบค. ได้โปรดทบทวนมาตรการ และเร่งเตรียมการให้พร้อม
สำหรับประชาชนอย่างพวกเราทุกคน ขอเน้นย้ำเรื่องใส่หน้ากากเสมอ สองชั้น ชั้นในเป็นหน้ากากอนามัย ชั้นนอกเป็นหน้ากากผ้า ใส่ให้ปิดจมูกและปิดปากเสมอ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก