xs
xsm
sm
md
lg

‘เชาว์’เสนอ รบ.เจรจาร้านสะดวกซื้อเป็นคลังอาหารชุมชนช่วงล็อกดาวน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก “Chao Meekhuad“ ระบุว่า ใช้ร้านสะดวกซื้อ เป็นคลังอาหารให้ชุมชน

ผมเห็นด้วยว่ารัฐบาลต้องกำหนดมาตรการที่เข้มข้นขึ้น หลังจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งทะลุหลักหมื่น ยอดผู้เสียชีวิตทะลุหลักร้อย และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงแบบนี้ต่อไปไม่น้อยกว่าสองเดือน สิ่งที่ต้องเร่งทำให้เกิดขึ้น เพื่อให้นโยบายรัฐบาลสัมฤทธิ์ผลคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจภาครัฐ พร้อมร่วมมือทำตามทุกนโยบายที่กำหนดออกมา ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นได้ ภาครัฐต้องมีความชัดเจนในเรื่องการดูแลปากท้องของประชาชน นอกเหนือไปจากการเยียวยาที่ออกมาด้วย โดยเฉพาะชาวชุมชนที่กลายเป็นพื้นที่ระบาดในวงกว้าง และยากต่อการควบคุม เมื่อห้ามทุกกิจกรรม ต้องดูแลปากท้องคนเหล่านี้ด้วย

ในการลงพื้นที่ชุมชนย่านห้วยขวางพบความจริงที่น่าตกใจ เช่น ชุมชนโรงปูน เมื่อวานนี้มีผู้ป่วยรอเตียงมากถึง 58 คน ยังไม่รวมกลุ่มเสี่ยงสูงต้องกักตัวหลายร้อยคนที่รอความช่วยเหลือตามยถากรรมต้องรับปัญหา 2 เด้งทั้งต้องหายารักษาตัวเองและหาข้าวกินในแต่ละมื้อเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ ซึ่งก็หนี ไม่พ้นที่เขาต้องดิ้นรนออกนอกบ้าน ในที่สุดก็จะแพร่เชื้อติดต่อกันไปเป็นเท่าทวีคูณ นี่คือความจริงของคนจนเมืองที่ภาครัฐต้องเร่งเข้ามาดูแล ผมเรียกร้องมาหลายครั้งให้จัดถุงยังชีพ ข้าวกล่อง และหยูกยาเวชภัณฑ์ที่เพียงพอ ในการดูแลทุกชีวิตที่ขาดรายได้ของคนกลุ่มนี้ แบบมีหน่วยบริการดูแลเฉพาะในการส่งข้าวส่งน้ำให้ทุกวัน ซึ่งทำได้หลายช่องทาง เช่น ให้ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ตามจุดใกล้เคียงตามชุมชนซึ่งมีข้าวกล่องสำเร็จรูปแช่แข็ง รวมทั้งหยูกยาเวชภัณฑ์จำเป็นและมีพนักงานรับส่งอยู่ในมือแล้วด้วย ผมคิดว่าแค่รัฐสั่งการลงมาก็สามารถทำได้ทันที่

เพราะในขณะนี้การตั้งโรงครัวก็ทำไม่ได้เนื่องจากเป็นการรวมกลุ่มกันเกิน 5 คน ขัดต่อกฎหมายและสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด จะรอข้าวกล่องจากกลุ่มจิตอาสาต่างๆก็มีน้อยเต็มที เพราะนาทีนี้ทุกคนก็ต่างระวังตัว ผมจึงขอเสนอให้รัฐเร่งเจรจากับร้านสะดวกซื้อที่มีสาขากระจายอยู่ทุกที่ ให้เป็นคลังอาหารของชาวชุมชน โดยนำอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปพร้อมรับประทานที่จำหน่ายในร้าน มาขายให้รัฐในราคาย่อมเยาว์ ช่วยลดภาระงบประมาณภาครัฐ ช่วยประชาชนอิ่มท้อง นอกเหนือจากข้าวกล่องล้านกล่องที่รองนายกฯ ประวิตร เตรียมดำเนินการ เพราะประชากรใน กทม.มีมากกว่า 10 ล้านคน ยังไงก็ไม่พอ ที่สำคัญต้องเลิกระบบลงทะเบียน เนื่องจากสำนักงานเขตมีข้อมูลประชาชนในแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว และให้มอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือไลน์แมนส่งของในพื้นที่นั้นๆ เป็นผู้ขนส่งกระจายอาหารให้กับชุมชน ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนเหล่านี้ด้วย

“ในอดีตเราจ่ายเงินซื้อของในร้านโซห่วยข้างบ้าน อาจจะขายแพงกว่า แต่ในยามทุกข์สุขเจ้าของร้านยังไปร่วมดูใจให้ความช่วยเหลือ เพราะถือเป็นเพื่อนบ้าน
แต่ปัจจุบันเราจ่ายเงินซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ที่ไม่เคยเอาเงินใส่ซองคืนกลับมาให้เรา ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานบวช หรืองานบุญใด ๆ เมื่อบ้านเมืองพัฒนาหลายอย่างเปลี่ยนไป ก็ควรใช้พัฒนาการนั้นมาร่วมคลี่คลายวิกฤตในบ้านเมืองด้วย สโลแกน สะดวกครบ จบที่เดียว ขอให้เกิดในการช่วยเหลือประชาชนยุคโควิด-19 ด้วยจะได้ไหม เมื่อถึงวันที่ประชาชนแข็งแรง ท้องหิวเมื่อไหร่จะได้แวะไปได้”