xs
xsm
sm
md
lg

สมาคมโรคติดเชื้อฯ แนะทบทวนแผนจัดหาวัคซีน จี้นำเข้า mRNA เพื่อครอบคลุมเชื้อกลายพันธุ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายแพทย์กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ทำจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เสนอแนะให้พิจารณาทบทวนแผนการจัดหาวัคซีน โดยเลือกใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 ได้ดี พร้อมทั้งดำเนินการจัดหาในปริมาณที่เพียงพอและรวดเร็ว

1. รัฐบาลควรเร่งรัดและสร้างหลักประกันในการที่จะมีวัคซีนที่ได้วางแผนจัดซื้อไว้แล้วให้มีใช้ในปริมาณที่เพียงพอ และถ้าเป็นไปได้ให้มีวัคซีนเข้ามาเร็วกว่าเดิม เพื่อเร่งระดมให้กับประชาชนให้ครอบคลุมได้ตามเป้าหมายโดยเร็วต่อไป การเร่งให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วนโดยเร็วที่สุดดังกล่าวนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการเกิดภูมิคุ้มกันหมู่จะช่วยชะลอการระบาดของเชื้อทุกสายพันธุ์ได้ระดับหนึ่งจนกว่าจะมีวัคซีนที่ออกแบบมาโดยเฉพาะกับเชื้อสายพันธุ์ใหม่

2. เร่งรัดจัดหาวัคซีนชนิดอื่น เช่น วัคซีนชนิด mRNA และวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ มาทดแทนวัคซีนชนิดเชื้อตายของบริษัท Sinovac ซึ่งในแผนการจัดซื้อวัคซึนเพิ่มเติมให้ครบ 150 ล้านโดส นั้นมีสัดส่วนของวัคซีนของบริษัท Sinovac ค่อนข้างมาก ทั้งที่มีแนวโน้มว่าวัคซีนนี้น่าจะป้องกันโควิด-19 ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งนี้หากได้วัคซีนชนิด mRNA และวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะเพิ่มขึ้น โดยจัดหาวัคซีนชนิด mRNA มาในสัดส่วนที่มากที่สุดน่าจะเป็นผลดีต่อการควบคุมป้องกันโรคมากกว่า ทั้งนี้หากสามารถจัดหามาได้ในปริมาณมากตั้งแต่ก่อนสิ้นปีนี้ยิ่งจะเป็นการดี

3. รัฐบาลควรมีแผนการจัดหาวัคซีนรุ่นต่อไปที่ผู้ผลิตออกแบบให้สามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ ได้ รวมทั้งเตรียมการจัดซื้อล่วงหน้า โดยแก้ใขหรือยกเลิกระเบียบขั้นตอนที่ยุ่งยากทางราชการที่ทำให้การจัดซื้อเป็นไปด้วยความล่าช้า มีแนวนโยบายและการสั่งการที่ชัดเจนในประเด็นของความเร่งด่วนของสถานการณ์ อย่างไรก็ตามยังคงต้องคำนึงถึงความโปร่งใส สมารถตรวจสอบย้อนหลังได้ด้วย

4. รัฐบาลควรส่งเสริมนักวิจัยและอุดสาหกรรมยาในประเทศให้สามารถทำวิจัยได้สำเร็จ และมีศักยภาพที่จะผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพสูงได้เองภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพิงต่างชาติ ทั้งยังอาจเป็นหนทางสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย

สมาคมฯ ระบุด้วยว่า นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกคาดหมายว่าไวรัสสายพันธุ์อินเดียจะกลายเป็นสายพันธุ์ที่มีการระบาดกว้างขวางที่สุด และเป็นสายพันธุ์เด่นทั่วโลก ดังที่เกิดขึ้นในประเทศอินเตียและประเทศอังกฤษ ซึ่งวัคซีนทุกชนิดที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์อินเดียได้น้อยลงเมื่อเทียบกับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิม

ข้อมูลเท่าที่มีพบว่าสำหรับวัคซีนชนิด mRNA แม้จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ลดลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง และวัคชีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ เช่น วัคชีนของบริษัท AstraZeneca กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้น้อยลง ส่วนวัคซีนชนิดเชื้อตาย คือ Coronavac (Sinovac) นั้นไม่มีข้อมูล เนื่องจากวัคซีนนี้ไม่เคยมีข้อมูลจากการศึกษาวิจัยที่ทำอย่างเป็นระบบและตีพิมพ์เผยแพร่อย่างเป็นหางการ แต่เนื่องจากระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ตั้งเดิมและสายพันธุ์อังกฤษที่ได้จากวัคซีนชนิดนี้ต่ำกว่าที่ได้จากวัคซีนชนิด mRNA และวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ จึงคาดหมายได้ว่าระดับภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์อินเดียน่าจะลดลงต่ำไปกว่านั้นอีก จนอาจจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซึนนี้ในภาพรวม

ข้อมูลประสิทธิผลของวัคซีน Sinovac ในประเทศไทยพบว่าระตับภูมิคุ้มกันหลังการได้รับวัคซีน 2 เชีม มีระดับเพียงพอ ลดอัตราการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้ เป็นข้อมูลที่เก็บในช่วงของการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์อังกฤษ จึงยังไม่อาจนำข้อมูลประสิทธิภาพของวัคซีนมาใช้ในการพิจารณาจัดซื้อวัคซีนในรุ่นถัดไป

ทั้งนี้ ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการใช้วัคซีนเพื่อควบคุมการระบาดล้วนแต่ใช้วัคซีนชนิด mRNA และวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะทั้งสิ้น ส่วนประเทศที่ใช้วัคซีนชนิดเชื้อตายเป็นหลัก เช่น อินโดนีเซียและชิลียังพบผู้ป่วยใหม่ในอัตราที่สูงมาก แม้จะลดอัตราตายได้ แต่ก็เป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขของประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างมาก

นอกจากนั้น ในขณะนี้เริ่มปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนแล้วว่า มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย ในประเทศชิลี มีการใช้วัคซีนชนิด mRNA เพิ่มขึ้นอย่างมาก และพบว่าวัคซีนชนิด mRNA มีประสิทธิผลสูงกว่าวัคซีนของบริษัท Sinovac ในทุกด้าน ทั้งการป้องกันการป่วย (90.9% เทียบกับ 63.69%) ป่วยป่านกลาง (97.1% เทียบกับ 87.3%) ป่วยหนักเข้า ICU (98.4% เทียบกับ 90%) และเสียชีวิต (91.8% เทียบกับ 86.4%) การเลือกชนิดของวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมป้องกันโรคจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนโยบายการเปิดประเทศภายใน 120 วัน ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไปแล้ว