น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เกี่ยวกับกรณีของวัคซีน โดยทางสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยการสัมภาษณ์สมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวนตัวอย่าง 46,600 คน ระหว่างวันที่ 17-22 พฤษภาคม 2564
จากผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 75.2 ต้องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในจำนวนนี้มีผู้ต้องการฉีดและพร้อมที่จะฉีดวัคซีน ร้อยละ 47.7 และผู้ต้องการฉีดแต่ยังไม่พร้อม ร้อยละ 27.5 ส่วนที่ฉีดวัคซีนแล้ว มีร้อยละ 5.5
ขณะที่ร้อยละ 19.3 ไม่ต้องการฉีดวัคซีน โดยให้เหตุผลว่า กลัวผลข้างเคียงร้อยละ 16.4 ไม่เชื่อมั่นว่าวัคซีนจะสามารถป้องกันได้ ร้อยละ 4.9 มีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย เช่น พิการ มีโรคประจำตัว ตั้งครรภ์ ร้อยละ 4.6สามารถป้องกันตัวเองได้ร้อยละ 3.6 และไม่มีข้อมูลหรือข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจ ร้อยละ 3.2
สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนระบุว่า วัคซีนที่ต้องการมากที่สุดคือวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้ ร้อยละ 54.6 วัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ ร้อยละ 12.5 วัคซีนโมเดอร์นา ร้อยละ 3 วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ร้อยละ 2.5 และวัคซีนโนวาแวกซ์ ร้อยละ 0.9
สำหรับ 6 จังหวัดที่มีผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วและผู้ที่พร้อมจะฉีดสูงกว่าร้อยละ 70 ได้แก่ ภูเก็ต ร้อยละ 80.2 ตรัง ร้อยละ 80 ระนอง ร้อยละ 78.8 บุรีรัมย์ ร้อยละ 73.3 ชลบุรี ร้อยละ 71.8 และนนทบุรี ร้อยละ 71.2
เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุ พบว่า ผู้ที่มีอายุ 18-29 ปี ไม่ต้องการฉีดวัคซีนและไม่พร้อมที่จะฉีดมีสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป ขณะที่นักเรียน นักศึกษา ผู้ว่างงาน ระบุว่าไม่ต้องการฉีดวัคซีนหรือไม่พร้อมฉีด สูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่น
สำหรับความเชื่อมั่นต่อคุณภาพของวัคซีน ประชาชนร้อยละ 45.3 มีความเชื่อมั่นต่อคุณภาพวัคซีนที่รัฐบาลให้บริการกับประชาชน ขณะที่ร้อยละ 54.7 ไม่เชื่อมั่น โดยให้เหตุผลว่า กลัวผลข้างเคียง ร้อยละ 41.3 วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าวัคซีนที่จะเลือกใช้เอง ร้อยละ 7 ได้รับข้อมูลข่าวสารของวัคซีนที่มีความขัดแย้งกัน ร้อยละ 5.7
เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัด พบว่าจังหวัดที่ไม่เชื่อมั่นต่อคุณภาพของวัคซีนสูงกว่าร้อยละ 70 ได้แก่ กาฬสินธุ์ ร้อยละ 80.5 ปัตตานี ร้อยละ 78.5 นราธิวาส ร้อยละ 74 เชียงใหม่ ร้อยละ 72.2 ขอนแก่น ร้อยละ 71.3 และสตูล ร้อยละ 70.4 และพบว่าประชาชนร้อยละ 56.6 ระบุว่า การที่รัฐให้เงินชดเชยเป็นหลักประกันการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน มีผลต่อการตัดสินใจฉีดวัคซีน และประชาชนร้อยละ 80.9 เห็นว่าควรเพิ่มสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีน โดยเห็นว่าสถานที่ที่เหมาะสม 5 อันดับแรก ได้แก่ สถานีอนามัย/โรงพยาบาลประจำตำบล ร้อยละ 52.4 จัดรถ Mobile ลงชุมชน ร้อยละ 18.2 โรงเรียน อาคารอเนกประสงค์ สนามกีฬา วัด ร้อยละ 9.8 ที่ทำการกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชนร้อยละ 9.6 และสถานที่ราชการ ร้อยละ 6.9
นอกจากนี้ ประชาชนยังเห็นว่ารัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนและลดความสับสนของข่าวสาร ดังนี้ ให้ผู้มีความรู้ ประสบการณ์ หรือผู้มีวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้นำเสนอประโยชน์ของวัคซีนเพื่อสร้างความมั่นใจอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 48.3 ให้หน่วยงานรับผิดชอบตรวจสอบข้อมูลและสกัดกั้นข่าวเท็จที่เผยแพร่จากสื่อสาธารณะ หรือโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว ร้อยละ 20.4 และให้หน่วยงานเดียวเป็นผู้รับผิดชอบให้ข้อมูลข่าวสาร ร้อยละ 18.8
ขณะเดียวกัน ยังพบด้วยว่า ประชาชนร้อยละ 90.5 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เรื่องที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ รายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ร้อยละ 49.3 และเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือมากที่สุด ได้แก่ ช่วยเหลือค่าครองชีพ ร้อยละ 67.8