นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า รัฐบาลได้จัดหาวัคซีนเพียงพอสำหรับคนไทยและทุกเชื้อชาติที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงของประเทศ โดยจะเป็นการฉีดวัคซีนตามความสมัครใจ ไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเดิมมีเป้าหมายฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 30 ล้านคน แต่จากความพยายามของรัฐบาลในการจัดหาวัคซีนเพิ่มและความชำนาญของบุคลากรทางการแพทย์ในการฉีดวัคซีน ทำให้ประเทศไทยมีวัคซีนมากพอที่จะฉีดให้กับประชาชนในประเทศได้ประมาณ 37 ล้านคน โดยกระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการฉีดให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม สามารถเปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรวัคซีนโควิด-19 ไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการฉีดวัคซีน เนื่องจากทราบข้อมูลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี ในส่วนกลุ่มเป้าหมายอื่นที่อาจตกหล่น เช่น ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในแต่ละพื้นที่ กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานไปยังหน่วยงานตรง เพื่อจัดสรรวัคซีนให้กับสถานบริการในสังกัดนำไปฉีดโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยสำรวจกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติม ให้เกิดความครอบคลุมในการรับวัคซีนมากขึ้น
นายอนุทิน เปิดเผยด้วยว่า ข้อมูล ณ วันที่ 26 มีนาคม 2564 ได้จัดสรรวัคซีนไปแล้วจำนวน 270,500 โดส โดยเป็นวัคซีนของซิโนแวค 190,720 โดส และแอสตร้าเซนเนก้า 79,780 โดส ฉีดให้กับประชาชนไปแล้ว 148,905 โดส โดยจะมีวัคซีนจากซิโนแวคที่จะมาเพิ่มอีก 800,000 โดส ในเดือนเมษายน กระทรวงสาธารณสุขจะมีการปรับแผนการจัดฉีดวัคซีนโดยขยายจำนวนหน่วยบริการตามจำนวนวัคซีนที่ได้รับมา เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการฉีดวัคซีนมากขึ้น
ขณะที่เมื่อวานนี้ ตนได้ไปติดตามความคืบหน้าการจัดฉีดวัคซีนแก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่สถาบันบำราศนราดูร ซึ่งพบว่าระบบการฉีดเป็นไปตามขั้นตอน มีความเรียบร้อยดี ผู้ที่มารับการฉีดทุกคนเป็นกลุ่มเป้าหมายตามแผน จากการติดตามอาการหลังการฉีดตามระบบส่วนใหญ่ไม่มีอาการข้างเคียง และขอเชิญชวนประชาชนกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนตามนัดให้ครบทั้ง 2 เข็ม เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันในประเทศ