นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังการประชุมทางไกลศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรณีฝุ่นละอองขนาดเล็กและหมอกควัน ว่า สถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในประเทศพบเกินค่ามาตรฐานในพื้นที่ภาคเหนือ และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะ 6 จังหวัดที่อยู่ในขั้นวิกฤต (สีแดง) มีผลกระทบต่อสุขภาพ คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พะเยา และตาก ซึ่งสาเหตุมาจากการเผาพื้นที่เกษตร ไฟป่าในประเทศ สภาพอากาศ และหมอกควันข้ามแดน โดยเฉพาะในวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา พบค่า PM 2.5 สูงสุดถึง 325 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ณ ตำบลจองคำ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว
ทั้งนี้ ในการประชุม ได้มีข้อสั่งการ ดังนี้ 1.เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในระดับจังหวัดและเขตสุขภาพ เพื่อยกระดับการปฏิบัติการและบูรณาการการจัดการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 2. เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ และสื่อสาร แจ้งเตือนความเสี่ยงและวิธีการปฏิบัติตนการดูแลสุขภาพแก่ประชาชน 3. เฝ้าระวังการเจ็บป่วยใน 4 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบผิวหนัง และระบบตา รวมทั้งให้รายงานผู้ป่วยที่มารับการรักษาในสถานพยาบาลทุกวัน หรือหากมีผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินมากกว่าปกติให้รายงานทันที
4. การดูแลและป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยให้ทีมหมอประจำตัวลงพื้นที่ออกเยี่ยมบ้าน ให้การดูแลสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสำคัญ คือ ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงและเด็กเล็ก เตรียมความพร้อมของสถานพยาบาล เตรียมสำรองยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือทางการแพทย์ให้มีความพร้อม เปิดคลินิกมลพิษในสถานบริการสาธารณสุข และสนับสนุนหน้ากากอนามัยให้แก่ประชาชน และ 5. ประสานงานการปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งการลดแหล่งกำเนิดมลพิษ การสื่อสารและการปกป้อง ดูแลประชาชน จนกว่าสถานการณ์หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กจะกลับสู่ภาวะปกติ
นายแพทย์สุวรรณชัย เปิดเผยว่า จากการสำรวจอนามัยโพลระหว่างวันที่ 1-8 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ PM 2.5 ในภาคเหนือมีแนวโน้มสูงขึ้น พบผลกระทบต่อสุขภาพ และมีอาการถึง 39.49% ส่วนใหญ่แสบจมูก 19.32% คัดจมูก มีน้ำมูก 18.90% ระคายเคืองตา 15.54% ส่วนใหญ่พบในกลุ่มอายุ 45-54 ปี มากที่สุด ดังนั้น ก่อนออกนอกบ้านขอให้ติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศทางเว็บไซต์ กรมควบคุมมลพิษ และแอพพลิเคชั่น Air4thai หรือติดตามข่าวสารด้านสุขภาพและมลพิษทางอากาศ ทางเพจ "คนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM 2.5" และควรสวมหน้ากากป้องกันทุกครั้ง
ทั้งนี้ ในการประชุม ได้มีข้อสั่งการ ดังนี้ 1.เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในระดับจังหวัดและเขตสุขภาพ เพื่อยกระดับการปฏิบัติการและบูรณาการการจัดการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 2. เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ และสื่อสาร แจ้งเตือนความเสี่ยงและวิธีการปฏิบัติตนการดูแลสุขภาพแก่ประชาชน 3. เฝ้าระวังการเจ็บป่วยใน 4 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบผิวหนัง และระบบตา รวมทั้งให้รายงานผู้ป่วยที่มารับการรักษาในสถานพยาบาลทุกวัน หรือหากมีผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินมากกว่าปกติให้รายงานทันที
4. การดูแลและป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยให้ทีมหมอประจำตัวลงพื้นที่ออกเยี่ยมบ้าน ให้การดูแลสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสำคัญ คือ ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงและเด็กเล็ก เตรียมความพร้อมของสถานพยาบาล เตรียมสำรองยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือทางการแพทย์ให้มีความพร้อม เปิดคลินิกมลพิษในสถานบริการสาธารณสุข และสนับสนุนหน้ากากอนามัยให้แก่ประชาชน และ 5. ประสานงานการปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งการลดแหล่งกำเนิดมลพิษ การสื่อสารและการปกป้อง ดูแลประชาชน จนกว่าสถานการณ์หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กจะกลับสู่ภาวะปกติ
นายแพทย์สุวรรณชัย เปิดเผยว่า จากการสำรวจอนามัยโพลระหว่างวันที่ 1-8 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ PM 2.5 ในภาคเหนือมีแนวโน้มสูงขึ้น พบผลกระทบต่อสุขภาพ และมีอาการถึง 39.49% ส่วนใหญ่แสบจมูก 19.32% คัดจมูก มีน้ำมูก 18.90% ระคายเคืองตา 15.54% ส่วนใหญ่พบในกลุ่มอายุ 45-54 ปี มากที่สุด ดังนั้น ก่อนออกนอกบ้านขอให้ติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศทางเว็บไซต์ กรมควบคุมมลพิษ และแอพพลิเคชั่น Air4thai หรือติดตามข่าวสารด้านสุขภาพและมลพิษทางอากาศ ทางเพจ "คนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM 2.5" และควรสวมหน้ากากป้องกันทุกครั้ง