เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีฟอกเงินยาเสพติด หมายเลขดำ อย.2201/2560 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง อายุ 34 ปี นายสรรเสริญรสานนท์ หรือเน็ต อายุ 39 ปี ภูมิลำเนา จ.นนทบุรี น.ส.อังสุพร อินา หรืออุ้ม อายุ 33 ปี ภูมิลำเนา จ.น่าน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานฐานฟอกเงิน และสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินฯ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3, 5, 9, 60 และสนับสนุนหรือช่วยเหลือหรือสมคบค้ายาเสพติด ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 4, 6, 10, 14 และ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
คดีนี้อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 ระบุพฤติการณ์สรุปว่าเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2559 - 2 กุมภาพันธ์ 2560 จำเลยทั้งสาม กับนายณัฐพล นาคคำ หรือบอย จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำ อย.2187/2560, อย.1883/2560, อย.1257/2560 ของศาลอาญา นายชัยวัฒน์ ชูสาย หรือแป๊ะ จำเลยคดียาเสพติดซึ่งศาลมีคำพิพากษาไปแล้วคดีหมายเลขแดง อย.1679/2560 กับนายนพ รัตนวิสุทธิ์ หรือบาส จำเลยคดียาเสพติด หมายเลขดำ อย.838/2560 ของศาลอาญา พวกที่หลบหนีและยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันสมคบสนับสนุนช่วยเหลือเพื่อกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดชนิดยาไอซ์ และยาบ้า ที่เป็นยาเสพติดประเภท 1 และร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำในการเป็นผู้จัดหา ครอบครอง เก็บรักษา ลำเลียงยา หาลูกค้าและเป็นเครือข่ายการรับยาเสพติด รวมทั้งจัดการด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายยาเสพติดที่นายณัฐพล หรือบอย กับพวก เป็นผู้จัดหายาเสพติดและเป็นผู้ประสานงานในการขนถ่ายลำเลียง ซึ่งวันที่ 26 พฤศจิกายน 2559 เจ้าพนักงานได้จับกุม นายนพหรือบาส กับพวก ได้พร้อมของกลางยาบ้า 140,000 เม็ด และยาไอซ์ชนิดเกล็ดสีขาว น้ำหนัก 19 กิโลกรัมเศษ โดยนายณัฐพล นาคคำ หรือบอย ได้โอนเงินที่กระทำเกี่ยวกับยาเสพติดผ่านบัญชีธนาคารบุคคลอื่น
ส่วนนายอัครกิตติ์ นายสรรเสริญ และ น.ส.อังสุพร จำเลยที่ 1-3 เปิดบัญชีธนาคารเพื่อทำธุรกรรมทางการเงินเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งได้มีการจัดการรับฝากเงินและโอนเงินค่ายาเสพติดไปยังบัญชีธนาคารชื่อนายอู๋ ปังโอฬารภาวะกุล นายสุวัฒน์ พวงมาลี ที่เป็นเครือข่ายของนายณัฐพล หรือบอย เพื่อปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้นายณัฐพลหรือบอย กับพวก ไม่ต้องรับโทษ โดยระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2557 – 1 กุมภาพันธ์ 2560 มีการโอนและรับโอนเงินตามคำสั่งของนายณัฐพล รวม 53 ครั้ง เป็นเงิน 11,072,547 บาท โดยยังมีการโอนเงิน ซึ่งนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ได้รับจากนายณัฐพล ไปซื้อรถลัมโบกินี และรถจักรยานยนต์ราคาแพงด้วย เหตุเกิดที่แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม, แขวงจอมทอง เขตจตุจักร, แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ, เขตจตุจักร, แขวง-เขตดินแดง กทม. เกี่ยวเนื่องกับ ต.บางขุนกอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
ในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนนายสรรเสริญ หรือเน็ต และ น.ส.อังสุพร หรืออุ้ม จำเลยที่ 2-3 ให้การรับสารภาพฐานฟอกเงินในชั้นพิจารณา ขณะที่ภายหลังถูกอัยการฟ้องเป็นคดีแล้ว นายอัครกิตติ์ ได้รับการประกันตัว ส่วนนายสรรเสริญ จำเลยที่ 2 ถูกคุมขังอยู่ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง และ น.ส.อังสุพร จำเลยที่ 3 ถูกคุมขังไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561 ให้จำคุกนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 ปี ฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 60 และให้ยกฟ้องข้อหาสนับสนุนหรือช่วยเหลือหรือสมคบค้ายาเสพติด ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และ พ.ร.บ.มาตรการในการป้องกันและปรามยาเสพติดฯ
ส่วนนายสรรเสริญ และ น.ส.อังสุพร จำเลยที่ 2-3 ให้จำคุกฐานสนับสนุนหรือช่วยเหลือหรือสมคบค้ายาเสพติด และฐานร่วมกันฟอกเงิน คนละ 8 ปี ฐานร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งให้การรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานฟอกเงินคนละ 4 ปี และฐานสมคบกันทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้จำคุกอีกคนละ 20 ปี กับปรับคนละ 400,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2-3 ทั้งสิ้นคนละ 24 ปี และปรับคนละ 400,000 บาท
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว มีคำพิพากษาเเก้ โดยเพิ่มโทษจำคุกนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานสนับสนุนช่วยเหลือหรือสมคบค้ายาเสพติด เเละฟอกเงินลงโทษจำคุกจาก 8 ปี เป็นจำคุก 36 ปี 8 เดือน ปรับ 3,333,333.33 บาท ส่วนจำเลยที่ 2-3 ลงโทษจำคุก 22 ปี 6 เดือนปรับ 4 เเสนบาท