พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ว่า รัฐบาลมีแผนการฉีดวัคซีน "ฟรี" เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนชาวไทยให้ได้อย่างน้อย 50% หรือครึ่งประเทศ ภายในปี 2564 นี้
ทั้งนี้ ชี้แจงว่า ระยะเร่งด่วน เราจะได้รับวัคซีนฯ ล็อตแรก 2 ล้านโดส จากบริษัท ซิโนแวค ประเทศจีน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนนี้ ซึ่ง 2 แสนโดสแรก (เดือน ก.พ.) ตั้งเป้าจะฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง เช่น บุคลากรทางการแพทย์และผู้สูงอายุก่อน จากนั้นเดือนมีนาคม และเมษายน จะได้รับอีก 8 แสนโดส และ 1 ล้านโดส ตามลำดับ นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้สั่งจองจากบริษัท แอสตราเซเนกา อีก 26 ล้านโดส กำหนดรับมอบภายในเดือนพฤษภาคม และจัดหาเพิ่มเติมอีก 35 ล้านโดส ซึ่งจะทยอยอนุมัติและส่งมอบต่อไป (รวมเป็น 63 ล้านโดส) เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับชาวไทย ซึ่งย้ำว่า คนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนฟรี
สำหรับ "ระยะยั่งยืน" มีการตั้งศูนย์การผลิตในประเทศอยู่ที่บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งมีโรงงานอยู่แล้ว ไม่ต้องสร้างใหม่ โดยได้การรับถ่ายทอดเทคโนโลยีมาแล้ว สามารถผลิตวัคซีนตามมาตรฐานของอ็อกฟอร์ดและแอสตราเซนเนกา โดยมีกำลังการผลิตที่ 200 ล้านโดสต่อปี นอกจากนี้ คณะแพทยศาสตร์และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็จะเป็นอีกแหล่งผลิตภายในประเทศ ที่มีองค์ความรู้ มีศักยภาพในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนที่ทันต่อวิวัฒนาการของเชื้อโรคได้ในอนาคต สร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุข และส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด หรือวัคซีนโรคอื่นๆ ในภูมิภาค
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุด้วยว่า ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส ใครที่มีวิสัยทัศน์ สร้างความพร้อม ย่อมได้รับประโยชน์ โดยในวิกฤตโควิดนี้ หากทำตามสิ่งที่ตนระบุได้จะสามารถผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ (Medical Hub) ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ระหว่างรอกระบวนการรอรับวัคซีน ขอให้ทุกคนระมัดระวังในการใช้ชีวิต อย่าประมาทกับเชื้อโรค ช่วยกันอีกครั้ง หยุดเชื้อเพื่อชาติ ต้องสวมหน้ากากเสมอ เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ล้างมือบ่อยๆ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเราและคนรอบข้างที่เรารัก รวมถึงประเทศไทย
ทั้งนี้ ชี้แจงว่า ระยะเร่งด่วน เราจะได้รับวัคซีนฯ ล็อตแรก 2 ล้านโดส จากบริษัท ซิโนแวค ประเทศจีน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนนี้ ซึ่ง 2 แสนโดสแรก (เดือน ก.พ.) ตั้งเป้าจะฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง เช่น บุคลากรทางการแพทย์และผู้สูงอายุก่อน จากนั้นเดือนมีนาคม และเมษายน จะได้รับอีก 8 แสนโดส และ 1 ล้านโดส ตามลำดับ นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้สั่งจองจากบริษัท แอสตราเซเนกา อีก 26 ล้านโดส กำหนดรับมอบภายในเดือนพฤษภาคม และจัดหาเพิ่มเติมอีก 35 ล้านโดส ซึ่งจะทยอยอนุมัติและส่งมอบต่อไป (รวมเป็น 63 ล้านโดส) เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับชาวไทย ซึ่งย้ำว่า คนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนฟรี
สำหรับ "ระยะยั่งยืน" มีการตั้งศูนย์การผลิตในประเทศอยู่ที่บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งมีโรงงานอยู่แล้ว ไม่ต้องสร้างใหม่ โดยได้การรับถ่ายทอดเทคโนโลยีมาแล้ว สามารถผลิตวัคซีนตามมาตรฐานของอ็อกฟอร์ดและแอสตราเซนเนกา โดยมีกำลังการผลิตที่ 200 ล้านโดสต่อปี นอกจากนี้ คณะแพทยศาสตร์และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็จะเป็นอีกแหล่งผลิตภายในประเทศ ที่มีองค์ความรู้ มีศักยภาพในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนที่ทันต่อวิวัฒนาการของเชื้อโรคได้ในอนาคต สร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุข และส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด หรือวัคซีนโรคอื่นๆ ในภูมิภาค
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุด้วยว่า ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส ใครที่มีวิสัยทัศน์ สร้างความพร้อม ย่อมได้รับประโยชน์ โดยในวิกฤตโควิดนี้ หากทำตามสิ่งที่ตนระบุได้จะสามารถผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ (Medical Hub) ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ระหว่างรอกระบวนการรอรับวัคซีน ขอให้ทุกคนระมัดระวังในการใช้ชีวิต อย่าประมาทกับเชื้อโรค ช่วยกันอีกครั้ง หยุดเชื้อเพื่อชาติ ต้องสวมหน้ากากเสมอ เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ล้างมือบ่อยๆ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเราและคนรอบข้างที่เรารัก รวมถึงประเทศไทย
