พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ถึงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ว่า เนื่องจากประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียน ซึ่งถือว่าเป็นภูมิภาคสำคัญของโลก เห็นได้จากตัวเลข GDP รวมกัน สูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก อยู่ที่ประมาณลำดับที่ 5 อีกทั้งยังมีทรัพยากรมนุษย์และศักยภาพต่างๆ ในระดับสูง
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมครั้งนี้มีการประชุมในประเทศอาเซียน และกับพันธมิตร ในลักษณะของอาเซียน+3 และ +6 ที่มีนับหลายสิบเวทีการประชุม โดยสิ่งที่น่ายินดีนั้น คือ การเจราจาข้อตกลง RCEP สามารถลงนามได้ในการประชุมวานนี้ ซึ่งกรอบความร่วมมือดังกล่าวได้ริเริ่มมาไม่น้อยกว่า 8 ปี และการเจราจามีความคืบหน้าไม่มากนัก ทั้งนี้ ได้พยายามผลักดันให้ความร่วมมือนี้มีความคืบหน้าจากการประชุมครั้งที่แล้ว ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ ในส่วนของอินเดียที่ระบุว่ายังไม่พร้อมในขณะนี้ ถือว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะในวันข้างหน้าก็จะมาเข้าร่วม อย่างน้อยวันนี้สมาชิกอื่นสามารถเข้าร่วมกันได้ และถือเป็นการร่วมมือกันได้แล้วในระยะแรก
นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับความร่วมมือ RCEP เป็นกรอบความร่วมมือการค้าในภูมิภาคที่จะเป็นผลดีต่อไทย ในเรื่องของการส่งออกสินค้าที่ผลิตในไทยไปยังทั่วภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ออสเตรีย นิวซีแลนด์ รวมถึงอาเซียน ซึ่งจะสามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศ พร้อมย้ำว่า ในขณะนี้ความร่วมมือในเวทีโลกจะเน้นการร่วมกลุ่มประเทศ เพื่อให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน และย้ำว่า รัฐบาลจะดูแลประชาชนไม่ให้ได้รับผลกระทบจากกรอบความร่วมมือและข้อตกลงต่างๆ พร้อมกับวางมาตรการต่างๆ เพื่อดูแลประชาชนอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้จะทำให้เกิดการยกเว้นภาษีที่ประเทศปลายทางจัดเก็บจากสินค้าต่างๆ ที่คนไทยส่งออกไป รวมถึงการขจัดขั้นตอนอุปสรรคต่างๆ ให้กับผู้ส่งออก ซึ่งส่วนนี้มองว่าจะช่วยให้ไทยมีความพร้อมที่จะสามารถฟื้นฟูและเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว เมื่อวิกฤตโควิด-19 ทั่วโลกคลี่คลายลง ดังนั้น การเข้าร่วมข้อตกลงนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับไทยด้วยในข้อตกลงประวัติศาสตร์ของอาเซียน เป็นข้อตกลงทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งต้องขอบคุณทีมงานทุกคนที่ได้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ จนทำให้บรรลุเป้าหมายและเป็นผลสำเร็จของคนไทยทุกคน
