ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง น้ำยาหยอดตานาโน แก้ปัญหาสายตาสั้นหรือยาวได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
จากที่มีการแชร์ข้อความว่า ยาหยอดตานาโน ใช้แก้ปัญหาสายตาสั้นหรือยาวได้โดยไม่ต้องใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์นั้น ทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า น้ำยาหยอดตานาโนอยู่ในระหว่างการทดลอง ยังไม่ทราบผลในการแก้ปัญหาสายตาอย่างชัดเจน หากมีปัญหากับดวงตา ควรปรึกษาจักษุแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
โดยน้ำยานาโนนั้นมีการศึกษาทดลองอยู่ในต่างประเทศจริง เป็นการทดลองโดยนำน้ำยาชนิดหนึ่งมาใช้กับดวงตาของหมูในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นดวงตาที่ไม่ได้อยู่ในหมูที่มีชีวิตนำมาทดลองวิจัย พบว่ามีผลในการหักเหแสงของกระจกตาหรือการเปลี่ยนค่าสายตาได้ประมาณ 200-300 หน่วย ซึ่งในการทดลองนี้มีผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น ได้ผลเพียงระยะเวลาสั้นๆ เหตุเพราะการทดลองยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังไม่มีการทดลองในสัตว์หรือสิ่งมีชีวิต ซึ่งทั่วไปการแก้ไขสายตาผิดปกตินั้น ปัจจุบันใช้แสงเลเซอร์ไปปรับรูปทรงกระจกตาให้โค้งลดลง เนื่องจากการที่กระจกตาโค้งมากจะทำให้การหักเหของแสงผิดปกติ ทำให้เกิดภาวะสายตาสั้น ซึ่งจากผลการวิจัยน้ำยาหยอดตานาโนที่เผยแพร่อยู่ในสื่อโซเชียลนั้น ยังไม่ได้เป็นการปรับรูปทรงของกระจกตา แต่ไปลดความสามารถในการหักเหแสงของตัวกระจกตา ให้หักเหแสงได้น้อยลง
โดยมาตรฐานทางการแพทย์การที่จะนำตัวยาหรือผลิตภัณฑ์ที่จะนำมาใช้ทางการแพทย์นั้นมาตรฐานในการทดลองยาชนิดหนึ่งจะต้องนำมาทดลองในห้องปฏิบัติการ ซึ่งยังไม่ใช้สิ่งมีชีวิต หลังจากได้ผลดีแล้วจึงจะเริ่มทำการทดลองกับสัตว์ทดลอง เช่น หนูบางสายพันธุ์หรือหมู หลังจากที่ทดลองในสัตว์ทดลอง พบว่าได้ผลดีและปลอดภัย ถึงจะเริ่มทำการทดลองในมนุษย์ที่เป็นอาสาสมัคร ซึ่งหากได้ผลดีและปลอดภัยและไม่มีภาวะแทรกซ้อนแล้วถึงจะเริ่มนำมาใช้กับมนุษย์ ซึ่งทั่วไปการทดลองยาแต่ละชนิด อาจจะต้องใช้เวลานาน
กรณีน้ำยานาโนที่เผยแพร่อยู่ในสื่อโซเชียลเพิ่งจะอยู่ในระยะแรก เป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ดังนั้น จักษุแพทย์ขอเตือนเรื่องการใช้ยา หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้กับดวงตา ควรระวังให้มาก เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่มีความบอบบางและติดเชื้อได้ง่าย และการนำน้ำยาที่ยังไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานทางการแพทย์ หรือสิ่งที่ไม่สะอาดมาใช้กับดวงตา อาจเกิดการติดเชื้อที่รุนแรงจนทำให้สูญเสียดวงตาหรือตาบอดได้
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ
