นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า ได้วางแผนปฏิบัติการฝนหลวงใหม่ให้สอดคล้องกับการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาที่ว่าจะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงจนถึงกลางเดือนกรกฎาคมนี้ โดยปรับที่ตั้งหน่วยฝนหลวง ดังนี้ ภาคเหนือ ย้ายจากจังหวัดแพร่ ไปเชียงใหม่ แต่คงหน่วยจังหวัดตากไว้ เนื่องจากปริมาณฝนตอนบนของประเทศต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ น้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำของเขื่อนสำคัญ โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ภาคกลาง ย้ายจากราชบุรี ไปกาญจนบุรี ส่วนที่ลพบุรียังคงไว้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังคงหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงไว้ที่จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และสุรินทร์ ภาคตะวันออก คงหน่วยปฏิบัติการไว้ที่จังหวัดระยอง ส่วนภาคใต้ ปรับลดหน่วยจังหวัดชุมพร แต่ยังคงหน่วยที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และสงขลา โดยให้หน่วยปฏิบัติการเดิมเป็นหน่วยเติมสารฝนหลวง
นายสุรสีห์ กล่าวต่อว่า การจัดที่ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงใหม่ ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ คำนึงถึงหลายปัจจัย ได้แก่ ปริมาณน้ำฝนสะสมตั้งแต่ต้นฤดู ซึ่งแสดงผลในแผนที่บันทึกไว้ พบว่าตอนบนของประเทศ ทั้งเชียงใหม่ เชียงราย มีฝนน้อย ทำให้น้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำต่างๆ ไม่มาก ขณะเดียวกัน ยังต้องทำฝนเติมน้ำลงสู่เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก มีปริมาตรน้ำน้อย ส่วนภาคกลาง จะเร่งเติมน้ำสู่เขื่อนวชิราลงกรณ์ และเขื่อนศรีนครินทร์ ตามที่กรมชลประทานประสานมา เนื่องจากหากลุ่มเจ้าพระยาน้ำน้อย จะผันน้ำจาก 2 เขื่อนนี้มาเสริม สำหรับภาคตะวันออก จะให้ความสำคัญกับการเติมน้ำในเขื่อนต่างๆ เพื่อสนับสนุนทุกกิจกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
นอกจากนี้ ยังพิจารณาจากชนิดของการเกษตรที่ทำในพื้นที่ต่างๆ ว่า เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ หรือทำประมงประเภทใด ช่วงไหนต้องการน้ำมาก-น้ำน้อย อีกทั้งปีนี้เป็นปีที่น้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำต่างๆ มีน้อย กรมชลประทานให้ภาคอุปโภค-บริโภคเป็นสำคัญ ส่วนการทำเกษตรให้ใช้น้ำฝนเป็นหลัก จึงต้องวางแผนปฏิบัติทำให้ฝนตกอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่นอกเขตชลประทาน ซึ่งจะต้องช่วยเหลือให้มีน้ำเพียงพอ