xs
xsm
sm
md
lg

“หมอธีระวัฒน์”ตั้งคำถามยารักษา 4 โรค กับความซวยของคนไข้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เป็นหมอสมัยนี้ยากมาก คำแนะนำจากสมาคมผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศถูกนำมาเป็นข้อปฏิบัติ และในที่สุดความจริงปรากฏออกมาเรื่อยๆ ในหลายๆ เรื่อง

ยาที่ใช้ในโรคสมองเสื่อม ไม่มีผลในการรักษาชะลอโรคหวังเพียงบรรเทาอาการโดยการกระตุ้นสมอง ภายในช่วงสามถึงสี่ปีที่ผ่านมา องค์กรกลางที่เชื่อถือได้ เช่น US Preventive health services task force ออกมาเตือนเรื่องการใช้ยาดังกล่าว และภายในปี 2018 มีคำแนะนำจากหลายสำนักว่าที่เคยใช้ควรเลิก และไม่ใช่ด้วยเรื่องความไม่มีประสิทธิภาพอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องผลข้างเคียง ทำให้เกิดความผิดปกติ เป็นลม ภาพหลอน อารมณ์แปรปรวนเนื่องจากมีผลในการกระตุ้นสมองที่เสื่อมไปแล้วและก็มีเซลล์สมองที่ยังทำงานได้เหลืออยู่น้อยนิด

ในส่วนคนไข้และครอบครัวกลับซวยกว่ามาก ทั้งต้องเสียเงินมหาศาล และมิหนำซ้ำเมื่อเกิดผลข้างเคียง เช่น มีอาการทางจิตกลับต้องถูกใช้ยาโรคจิตทำให้ไปกดภาวะของสมองหนักเข้าไปใหญ่

การอยู่ในประเทศด้อยพัฒนาอย่างประเทศไทยจะอยู่ด้วยความยากลำบาก จะใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากต่างประเทศก็มีอิทธิพลชักจูงจากบริษัทยา ทำให้ข้อมูลที่รายงานทางวารสารมีการจงใจที่จะปกปิดข้อมูลทางด้านลบ หมอครูแพทย์ที่สอนก็ใช้ข้อมูลตามวารสารเหล่านี้

สิ่งสำคัญที่นักวิชาการในประเทศด้อยพัฒนาอย่างเราต้องใส่ใจอย่างมากคือโรคเกิดขึ้นได้อย่างไร กลไกของโรคคืออะไร และยาที่ว่าดี ดีจริงหรือไม่ ไปขัดขวางกระบวนการที่ทำให้เกิดโรคตรงระดับใดหรือเปล่า หรือเป็นแต่บรรเทาเพียงอาการแต่กลับเร่งให้โรคไปเร็วขึ้น

ถ้าข้อมูลไม่ชัดเจน ต้องช่วยกันทะลุทะลวงความจริงให้ได้ ไม่ใช่ช่วยกันใช้ตามกันไป โดยอ้างว่าทำตามตำรา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ใช่ยาสมองเสื่อมอย่างเดียว แต่เป็นยาในโรคพาร์กินสัน ยาลดไขมัน ยารักษาโรคทางอารมณ์และโรคจิต ซึ่งมีแนวโน้มยารุนแรงขึ้น และเมื่อใช้ร่วมกันหลายตัวอาจมีผลข้างเคียงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

ผู้โพสต์มิได้มีเจตนาไม่ให้ใช้ยา แต่ต้องตั้งคำถามกับยาที่จะใช้ ว่าอธิบายได้ในระดับใดและต้องติดตามผลของการใช้ยาและศึกษาลึกลงไปถึงกลไกการเกิดโรคทางวิทยาศาสตร์ และประเทศไทยถึงแม้จะได้พัฒนาโกงกินคอร์รัปชั่นมหาศาล แต่ถ้าคิดวิเคราะห์กันทุกๆ ด้าน สมองน่าจะมีการพัฒนายิ่งกว่าประเทศใดๆ ในโลก