นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 30 วัน นับจากวันที่ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ครบ 100 ราย ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้นำข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เทียบกับข้อมูลสถานการณ์ต่างประเทศโดยองค์การอนามัยโลก พบว่า จากมาตรการต่างๆ ที่คนไทยได้ช่วยกันตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ด้วยการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพิ่มการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล ในระยะ 2 เมตร ดูแลสุขอนามัยด้วยการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ทำให้จำนวนผู้ป่วยของไทยชะลอลงได้ กราฟโดยรวมที่แสดงถึงสถานการณ์ผู้ป่วยใหม่จึงค่อนข้างดี มีแนวโน้มลดลง สวนทางกับประเทศต่างๆ ที่ขณะนี้เส้นกราฟยังคงพุ่งสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เห็นว่าแม้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ยังไม่อาจดีใจ และยกเลิกการผ่อนปรนทุกอย่างให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติทั้งหมด ควรติดตามอัตราการพบผู้ป่วยใหม่ อัตราการเสียชีวิต และอัตรากลับบ้าน จนครบ 14 วัน หรือประมาณวันที่ 22 เมษายนนี้ ก่อนปรับเปลี่ยนมาตรการ หากจะผ่อนปรน ควรผ่อนบางอย่างเฉพาะกิจกรรมที่จำเป็นเท่านั้น โดยให้คำนึงถึงความสมดุลในการควบคุมโรคการดูแลระบบเศรษฐกิจ และสภาพสังคม และควรปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะมีตัวอย่าง 2 ประเทศที่พบผู้ป่วยครบ 100 รายก่อนไทย เช่น ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ที่มีการผ่อนปรนมาตรการควบคุมทางสังคมทันทีที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น ทำให้ขณะนี้นี้พบจำนวนผู้ป่วยใหม่กลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง สิงคโปร์จึงกลับมาประกาศใช้มาตรการเดียวกับที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้เชิญชวนสังคมไทยให้เคร่งครัดมาตรการรักษาระยะห่างและการดูแลสุขอนามัยอย่างต่อเนื่อง อย่าผ่อนคลายเกินไปจนโรคกลับมาระบาดเพิ่มอีก หากทุกคนมีจิตสำนึก มีความรับผิดชอบ และมีวินัย ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องรอใครมาบังคับ จะทำให้เราผ่านวิกฤตไปได้โดยบอบช้ำน้อยที่สุด