พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร โพสต์เฟซบุ๊ก “ผู้ว่าฯ อัศวิน” ระบุว่า กทม.และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้พยายามพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะมาอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของรัฐบาล โดยที่ผ่านมาเราได้เปิดให้บริการสถานีรถไฟฟ้าทั้งบนดิน และใต้ดินเพิ่มเติมหลายสถานีด้วยกัน รวมถึงมีการดำเนินโครงการต่างๆ เช่น การขยายเส้นทางรถไฟฟ้า การให้บริการเดินเรือฯลฯ เพื่อเชื่อมต่อระบบการเดินทางต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียว และเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางให้พี่น้องประชาชนมากขึ้น
แต่ปัญหาหนึ่งที่ กทม. เล็งเห็นก็คือ ระบบฯของเราไม่ได้รองรับการเดินทางตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ดังนั้นเราจึงยังเห็นคนจำนวนมากขับขี่รถส่วนตัวมาหาที่จอดเพื่อเดินทางต่อด้วยระบบสาธารณะต่างๆ รวมถึงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เลือกเดินทางด้วยรถส่วนตัว เพราะความไม่สะดวกดังกล่าว ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะของเรายังไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ เท่าที่ควร
วันนี้ กทม.จึงได้พัฒนา"ระบบ feeder" หรือระบบขนส่งฯ ระบบรองที่ให้บริการเสริมในส่วนที่ระบบหลักครอบคลุมไปไม่ถึง เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจะทดลองให้บริการเดินรถ shuttle bus ในเส้นทางหลักที่ยังไม่มีบริการขนส่งมวลชนอื่นๆ รองรับ เพื่อรับผู้โดยสารจากต้นทางมาป้อนเข้าสู่ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะหลัก โดยจะเริ่มทดลองเดินรถประมาณเดือนมีนาคม 63 ใน 3 เส้นทางนำร่อง ได้แก่ สถานีขนส่งมวลชนสายใต้ - สถานี bts บางหว้า, ดินแดง - สถานี bts สนามเป้า และชุมชนเคหะร่มเกล้า - สถานี arl ลาดกระบัง ระหว่างช่วงเวลา 05.00 - 21.00 น. โดยไม่คิดค่าบริการ ซึ่งจุดจอดรับ-ส่งผู้โดยสารของแต่ละสาย ผมจะแจ้งให้ทราบโดยละเอียดในโอกาสต่อไป
นอกจากนั้น ยังมีเส้นทางอื่นที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้อีก 7 เส้นทาง ได้แก่
1. พระราม 6 - สถานี BTS อารีย์
2. ทองหล่อ - เอกมัย
3. ท่าเรือกรุงเทพ - อ่อนนุช
4. ซอยเสนานิคม - สถานี BTS เสนานิคม
5. สถานี BTS สยาม - สนามหลวง
6. ถนนสามเสน(ดุสิต) - ถนนมิตรไมตรี(ดินแดง)
7. สายไหม - สถานี BTS สะพานใหม่
ทั้งนี้ กทม. ยังคงมีแผนที่จะเพิ่มเส้นทางอื่นๆ เพื่อพัฒนาการขนส่งมวลชนสาธารณะระบบต่างๆ ให้เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ทั้งล้อ ราง เรือ รวมไปถึงสนามบิน (ดอนเมือง) โดยมีเป้าหมายสำคัญให้พี่น้องประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ปลอดภัย และรวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้รถส่วนตัว เพื่อให้กรุงเทพฯ มีศักยภาพในการส่งเสริมความเจริญของประเทศในทุกๆ มิติต่อไป