นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 19.26 น. วานนี้ (1 พ.ย.) โดยวัดแรงสั่นสะเทือนได้ 3.2 ที่ความลึก 3 กิโลเมตรนั้น
กรมชลประทานได้ทำการตรวจสอบข้อมูลค่าความเร่งสูงสุดของพื้นดิน บริเวณที่ตั้งเขื่อนที่อยู่ในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ได้แก่ เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เขื่อนแม่แหลงหลวง เขื่อนแม่ทะลบหลวง เขื่อนห้วยแม่ออน เขื่อนแม่จอกหลวง เขื่อนห้วยมะนาว จังหวัดเชียงใหม่ เขื่อนแม่สรวย เขื่อนดอยงู จังหวัดเชียราย ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทานแล้ว พบว่าค่าอัตราเร่งสูงสุดของพื้นดินที่เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้มีค่าน้อย (0.0000813g) เมื่อเทียบค่าให้เป็นค่า seismic coefficient (K) ที่ใช้ในการออกแบบเขื่อนเพื่อรองรับแผ่นดินไหว แล้วมีค่าประมาณครึ่งหนึ่งของค่าความเร่งสูงสุดที่ตรวจวัดได้ (K=0.00004) โดยค่า K ที่กรมชลประทานได้ออกแบบไว้ สามารถรองรับแผ่นดินไหวในพื้นที่ได้ประมาณ K=0.1 ซึ่งค่าที่ตรวจวัดได้ดังกล่าวเป็นค่าที่น้อยมาก ไม่ส่งผลกระทบต่อเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ของกรมชลประทาน
ทั้งนี้ กรมชลประทานได้ออกแบบเขื่อนทุกแห่งให้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวไว้ด้วยค่าที่สูงสุดของความเสี่ยงในพื้นที่ประเทศไทย ดังนั้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวเขื่อนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม กรมชลประทานได้ดำเนินการตรวจสอบและติดตามข้อมูลทางสถิติของค่าความเร่งสูงสุดที่เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอยู่ตลอดเวลา เพื่อประเมินเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น และแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเขื่อน เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ท้ายเขื่อน มีความมั่นใจและเชื่อมั่นในความปลอดภัยแข็งแรงของเขื่อนตลอดเวลา