นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีมีผู้เสียหายแชร์ลูกโซ่เข้าแจ้งความร้องทุกข์เอาผิดนางสาววันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือแม่มณี ว่า เรื่องนี้เริ่มต้นคิดว่าไม่น่าใช่เรื่องใหญ่โต แต่เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จัดทำคิวอาร์โค้ดประชาสัมพันธ์ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา ผู้เสียหายเดินทางมาร้องทุกข์กับกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ดีเอสไอ ประมาณ 200 ราย จากนั้น วันที่ 29 ตุลาคม ดีเอสไอได้จัดทำการลงทะเบียนผ่านระบบคิวอาร์โค้ด เพียง 1 วัน มีจำนวนถึง 1,600 ราย รวมทั้งหมดขณะนี้มีผู้เสียหายกว่า 1,800 ราย มูลค่าความเสียหาย 432 ล้านบาท ซึ่งการพิจารณาว่าคดีเข้าข่ายคดีพิเศษนั้น ต้องมีเงื่อนไขผู้เสียหาย 300 รายขึ้นไป และมีความเสียหายเกิดขึ้นมากกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งอยากให้ผู้เสียหายลงทะเบียนคิวอาร์โค้ดไว้ก่อน อีกทั้งยังมีผู้เสียหายร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 400 ราย หลังจากนี้จะหารือกับหน่วยงานเพื่อประชุมคณะกรรมการกลั่นกรอง ประกอบด้วย อัยการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดีเอสไอ พิจารณารับเป็นคดีพิเศษภายในสัปดาห์นี้
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ดีเอสไอยังเตรียมข้อมูลในการอายัดบัญชีทรัพย์สินกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพราะหากล่าช้าอาจถูกโยกย้ายทรัพย์สิน ทำให้โอกาสตามคืนยาก พร้อมประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ส่วนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปอศ. ออกหมายจับไปแล้วนั้น หากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษจึงจะประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณารวมสำนวนทำเป็นคดีเดียวกัน แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มอายัดบัญชีไปบางส่วนแล้ว
สำหรับการช่วยเหลือผู้เสียหายคดีแชร์ลูกโซ่ เบื้องต้นยังไม่มีกองทุนเยียวยา แต่กำลังพิจารณาในการแก้กฎหมายให้ได้รับความเป็นธรรม ทั้งนี้ หากใครเป็นผู้เสียหายให้แจ้งเรื่องที่ดีเอสไอ สิ่งสำคัญจะต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีของใคร เพื่อนำไปสู่การอายัดเงินและทรัพย์สิน ซึ่งจะเป็นข้อมูลทำให้ทราบว่า ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีของใครเพื่อนำไปสู่การอายัดเงิน และดีเอสไอจะทำงานได้เร็วขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์นำไปสู่การคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย นอกจากนี้กรณีที่ตำรวจมีการออกหมายจับแล้วก็จะสามารถนำข้อมูลมาประกอบกัน