xs
xsm
sm
md
lg

ปธ.วิปฝ่ายค้านขู่ยื่นศาล รธน.ตีความหากรัฐบาลแจงงบฯ ไม่เคลียร์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ว่า ฝ่ายค้านคงใช้รูปแบบเดิมโดยใช้กำลังผสมจากทุกพรรคในการอภิปราย ขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคน และจะหารือกันอีกครั้งในวันที่ 15 ตุลาคม เพื่อแบ่งกันอภิปราย ซึ่งในส่วนของพรรคเพื่อไทยมีผู้แสดงความจำนงที่จะอภิปรายประมาณ 60 คน ดังนั้นเวลาในการอภิปราย 2 วันน่าจะไม่พอเพียง จึงควรให้อภิปราย 3 วัน ตั้งแต่ 09.30 น.ถึง 24.00 น. หากรวม 3 วัน จะได้ประมาณ 40 ชั่วโมง เพราะช่วงแรกจะมีการพิจารณาพระราชกำหนดก่อน จึงจะขอประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าขออภิปรายกันตามความเป็นจริง ซึ่งจะแบ่งกัน 5-6 นาทีเท่านั้น ทั้งนี้เท่าที่ดูการจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้พบว่ามีหลายส่วนที่จัดไว้โดยไม่มีรายละเอียด ซึ่งตามรัฐธรรมนูญระบุว่าจะต้องมีรายละเอียด ถือว่ามีการกระทำผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และหากไม่ปรับปรุงก็อาจจะไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ประธานวิปฝ่ายค้าน ตั้งข้อสังเกตว่าการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลเน้นไปที่กระทรวงด้านความมั่นมาก ไม่สัมพันธ์กับปัญหาประเทศ เช่น เน้นงบประมาณในกระทรวงกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย ขณะที่งบประมาณในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจยังน้อย รวมทั้งงบประมาณในการดูแลประชาชนโดยเฉพาะงบในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคยังน้อย จึงจะเสนอให้ปรับปรุง รวมทั้งเห็นว่าประมาณการรายรับก็ไม่น่าจะทำได้ตามเป้า เพราะตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง แล้วจะจัดเก็บภาษีให้สูงขึ้นได้อย่างไร รวมถึงการจัดสรรงบประกันรายได้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีจำนวนมาก จะเหมือนกรณีของการจำนำข้าวหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการจัดสรรงบกลางไว้จำนวนมากโดยที่ไม่มีรายละเอียดในการใช้งบประมาณ ดังนั้นหากจะใช้เพื่อฉุกเฉินหรือช่วยน้ำท่วมก็สามารถจัดสรรไปอยู่ในกระทรวงอื่นที่สามารถตรวจสอบได้ และแบ่งอำนาจไปให้ช่วยกันดูแล ดังนั้นทั้งหมดนี้รัฐบาลจะต้องชี้แจงในวันพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ

สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายค้านจะไม่โหวตรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ครั้งนี้นั้น ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า สมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านก็ไม่ได้ลงมติให้ ดังนั้นการที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ จะผ่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประโยชน์ของประเทศ หากจัดสรรมาไม่ดี ก็อยากให้รัฐบาลกลับไปทำใหม่ ให้เหมาะสม และลำพังเสียงของรัฐบาลก็พอเพียงอยู่แล้ว หากไม่ผ่านก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลเอง ซึ่งเท่าที่ติดตามก็เห็นว่ารัฐบาลมีปัญหา