xs
xsm
sm
md
lg

ซูเปอร์โพลเผยการเมืองไทยไม่นิ่งกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภคอย่างหนัก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) ร่วมกับสำนักวิจัย UCSI POLL มหาวิทยาลัย UCSI ประเทศมาเลเซีย เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง "ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจของประเทศ เปรียบเทียบ ไทย-มาเลเซีย" จำนวน 1,144 ตัวอย่าง

ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 55.6 ระบุ เป็นไปได้น้อย ถึง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าบ้าน เช่น ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ร้อยละ 29.9 ยังไม่แน่ใจ และร้อยละ 14.5 ระบุ เป็นไปได้มาก ถึง มากที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.3 ระบุ เป็นไปได้น้อย ถึง เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะซื้อบ้านหลังใหม่ หรือรถคันใหม่ ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่ร้อยละ 16.0 ไม่แน่ใจ และร้อยละ 8.7 ระบุ เป็นไปได้มาก ถึง มากที่สุด

ที่น่าเป็นห่วง คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.7 ระบุ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ในขณะที่ร้อยละ 15.3 ระบุ มีรายได้มากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจในปี 2560 พบว่า คนที่มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 67.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 84.7 ดังกล่าว

นอกจากนี้ จำนวนมากหรือร้อยละ 43.5 รู้สึกมั่นคงน้อย ถึง ไม่มั่นคงเลยในอาชีพการงาน ในขณะที่ร้อยละ 39.1 ไม่แน่ใจ และร้อยละ 17.4 รู้สึกมั่นคงมาก ถึง มากที่สุด

ที่น่าพิจารณา คือ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจของประเทศ เปรียบเทียบ ไทย กับ มาเลเซีย พบว่า ผู้บริโภคคนไทยครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 50.1 และคนมาเลเซียร้อยละ 26.9 มีความเชื่อมั่นแย่ลงต่อเศรษฐกิจของประเทศในอีก 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่คนไทยเพียงร้อยละ 6.5 เชื่อมั่นดีขึ้นน้อยกว่าคนมาเลเซียที่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของมาเลเซียสูงถึงร้อยละ 37.6 ในอีก 12 เดือนข้างหน้า

ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล กล่าวว่า การเมืองไทยหลังการเลือกตั้งที่ยังไม่นิ่ง กำลังส่งผลกระทบทางลบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างหนัก เปรียบเทียบกับการเมืองมาเลเซียที่นิ่งมากกว่า ส่งผลให้ประชาชนชาวมาเลเซียเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่าคนไทย ทางออก คือ ทำให้ประชาชนมีงานทำที่มั่นคง และทำภาพอนาคตทางการเมืองไทยให้ชัดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในระยะสั้นและระยะยาว รัฐบาลจะอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน ทั้งหมดนี้ผู้บริหารประเทศจะทราบสถานการณ์ได้ดี และมองเห็นอนาคตข้างหน้าได้ดีกว่า อยู่ที่ว่าจะทำให้สาธารณชนสนับสนุนและเดินไปกับคณะผู้บริหารประเทศได้หรือไม่ จึงเสนอให้ใช้ยุทธศาสตร์เสริมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และการสนับสนุนของสาธารณชนต่อการขับเคลื่อนประเทศเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตของประเทศให้เจริญมั่นคง