xs
xsm
sm
md
lg

‘หมอเลี๊ยบ’แนะควรก้าวต่ออย่างไรกับ 30 บ.รักษาทุกโรค เปิดเหตุผลไม่รับตำแหน่ง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เขียนบทความ “30 บาทรักษาทุกโรค" ควรก้าวต่อไปอย่างไร (ตอนที่ 1)” ผ่านเฟซบุ๊ก“สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี”ระบุว่า ทำไมผมจึงไปนำเสนอข้อมูลเรื่อง 30 บาท ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ข่าวคราวเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากลับมาอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นข่าวที่มีอารมณ์ข่าวแตกต่างไปจากหลายครั้งที่ผ่านมา 4-5 ปีก่อนหน้านี้ เราได้รับฟังแต่ปัญหาของนโยบาย 30 บาท ในเรื่องงบประมาณไม่พอบ้าง ต้องให้มีการร่วมจ่ายเมื่อเจ็บป่วยบ้าง (ซึ่งไม่มีการลงรายละเอียดว่า จะให้ร่วมจ่ายอย่างไร เท่าไร) ผู้ป่วยมารักษาพยาบาลจนแออัดทั้งตึกผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในบ้าง ความขัดแย้งระหว่างแพทย์ พยาบาลกับผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินบ้าง

สารพัดปัญหาเหล่านั้น ทำให้เกิดการโยนหินถามทางว่า ควรยกเลิกระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ใช้อยู่หรือไม่ แต่คนที่โยนหินก็กล้าๆกลัวๆ สองจิตสองใจ ไม่มั่นใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป ผมรับฟังข่าวร้ายด้วยความรู้สึกหดหู่และหงุดหงิด แต่ก็บอกกับตนเองว่า ปล่อยวางเถอะ เราได้ทำสิ่งที่เราควรทำแล้ว เดี๋ยวนี้และต่อจากนี้ ปล่อยให้เป็นบทบาทหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ ให้เขาทำต่อไป เพื่อประโยชน์ของประชาชนเถิด ใครทำอะไรก็ย่อมได้รับผลของการกระทำนั้น
หลังพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือนตุลาคม 2545 ผมไม่ได้กลับไปที่กระทรวงสาธารณสุขอีกเลย

ส่วนที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผมมีโอกาสไปร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 2 ครั้งในช่วงเวลา 16 ปี ผมติดตาม และเอาใจช่วยการพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งเริ่มต้นอย่างมีชีวิตชีวาในยุคของนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ต่อเนื่องมาถึงยุคของนายแพทย์วินัย สวัสดิวร แต่ผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับปัญหาที่เริ่มผุดโผล่ขึ้นมาในช่วงหลัง ซึ่งบั่นทอนความเข้มแข็งของระบบ

สื่อมวลชนหลายแขนงทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และเว็บไซต์ มาขอความเห็นผมเมื่อใด ผมก็แสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย และระมัดระวัง ไม่ข้ามเส้น ไม่ทำให้ใครคาดการณ์ไปได้ว่า ผมจะหวนกลับมาผลักดัน 30 บาทอีกครั้ง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขบางท่านเอ่ยปากเมื่อมีโอกาสพบกันว่า อยากให้ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผมรับปากด้วยความยินดี แต่เมื่อท่านไม่นัดหมาย ผมก็ไม่ขวนขวายขอเข้าพบแต่อย่างใด

วันนี้ ผมเป็นประชาชนที่อยู่ในวรรณะ จัณฑาลทางการเมืองมีเพียงสิทธิในการไปลงคะแนนเลือกตั้ง ไม่มีสิทธิเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดๆ ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต แต่ผมก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ แต่กลับสบายใจที่ไม่ต้องหาเหตุผลมาตอบมิตรสหายที่แวะเวียนมาสม่ำเสมอเพื่อชักชวนเข้าสู่การเมืองอีกครั้ง

ผมไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ผมไปโหวตไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ผมสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ผมสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานการเมืองกันให้มากๆ ผมไปลงคะแนนในวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ด้วยการเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ตามแนวทาง ‘เลือกอย่างมียุทธศาสตร์’ และผมไม่เห็นด้วยการสืบทอดอำนาจ

แต่ผมก็ไม่ยอมเห็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าพังทลายลงต่อหน้าต่อตา โดยนิ่งดูดาย ไม่ทำอะไร ดังนั้นเมื่อทีมงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล ติดต่อมาว่า รัฐมนตรีอยากแลกเปลี่ยนความคิดเรื่อง 30 บาท ผมจึงตอบรับ (แต่ก็แอบคิดไม่ได้ว่า คงไม่ตั้งใจนัดหมายจริงจังเหมือนรัฐมนตรีท่านก่อนๆนั่นแหละ)

ในวันแรกที่พบกัน ผมเล่าความคิดเห็นของผมอย่างคร่าวๆ คุณอนุทินตั้งใจฟัง และจดประเด็นสำคัญๆ ในสมุดบันทึกไปด้วย ผมเอ่ยปากชัดเจนในวันนั้นว่า ผมพร้อมให้ความเห็นทั้งในที่ประชุมย่อย ที่ประชุมใหญ่ และในการประชุมเชิงปฏิบัติการ ผมพูดกี่ครั้งก็จะพูดเหมือนเดิม เพราะหลักการที่ถูกต้องของระบบ 30 บาทไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่เงื่อนไขสำคัญที่ผมแจ้งคุณอนุทินไปคือ ผมไม่ใช่ทีมงานของท่าน ผมไม่รับตำแหน่งใดๆ ไม่รับการแต่งตั้งเป็นคณะ กรรมการหรือคณะทำงานใดๆ ไม่รับเบี้ยประชุม ไม่รับค่าเดินทางหรือค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

ผมมาในฐานะประชาชนชื่อ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่อยากเห็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พัฒนาไปอย่างยั่งยืน เป็นกำแพงพิงหลังให้ผู้ทนทุกข์ ไม่มีใครต้องล้มละลายจากการเจ็บป่วย และเป็นแบบอย่างที่งดงามให้กับองค์การอนามัยโลกและนานาประเทศ หลังจากนั้น ทีมงานรัฐมนตรีติดต่อประสานงานกับผมอีกหลายครั้ง จนผมรู้สึกได้ว่า คราวนี้ รัฐมนตรีฯ ท่าจะเอาจริงแฮะ และนำไปสู่การนัดหมายครั้งที่ 2 เพื่อให้ผมร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

วันที่ 2 สิงหาคม 2562 ผมจึงขับรถเข้าไปในกระทรวงสาธารณสุข ด้วยความตื่นเต้น เพราะเป็นการเข้าไปในกระทรวงสาธารณสุขครั้งแรกในรอบ 16 ปี