นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงคดีนายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 56 ปี เสี่ยเจ้าของโรงงานขับรถเบนซ์สปอร์ตชนประสานงากับรถยนต์ของ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล หรือรองตี๋ รองผู้กำกับการ สอบสวน กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม ที่เดินทางมาพร้อมครอบครัว จน พ.ต.ท.จตุพร เสียชีวิตพร้อมภรรยา ส่วนลูกสาวคนเล็กได้รับบาดเจ็บ เเล้วพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี 5 ได้ยื่นฟ้องนายสมชาย เป็นจำเลย ในคดีหมายเลขดำ 1839/2562 ต่อศาลจังหวัดตลิ่งชัน ในความผิดฐานฐานขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฏหมายกำหนด ขับรถในขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้รับอันตรายสาหัสและทรัพย์สินเสียหาย ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส รวม 3 ข้อหา ว่า ที่อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นฯ จำเลยตามที่พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนแจ้งข้อหาดังกล่าวมาด้วยนั้น ทางสำนักงานอัยการสูงสุดใช้ดุลพินิจในการพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดที่เป็นอิสระกับอัยการเจ้าของสำนวนและคณะทำงาน ในคดีนี้มีอัยการพิเศษฝ่ายร่วมพิจารณาอยู่กับอัยการเจ้าของสำนวนที่รับผิดชอบและมีคำสั่งฟ้อง 3 ข้อหาดังกล่าวโดยข้อหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนั้นไม่ตัดสิทธิหากญาติผู้เสียหายจะไปยื่นฟ้องเอง
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ภายหลังจากที่อัยการยื่นฟ้องไป 3 ข้อหา แต่ในส่วนข้อหาความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นฯ ตามกฎหมายยังต้องส่งให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำความเห็นแย้งกลับมาได้ ซึ่งทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีความเห็นตามกับทางอัยการ หรือไม่เห็นแย้งกับความเห็นของอัยการในการสั่งไม่ฟ้องขัอหาฆ่าผู้อื่น เท่ากับว่าความเห็นเป็นที่สุดให้ฟ้องตามความเห็นของอัยการ
ทั้งนี้ ภายหลังที่อัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ทางผู้เสียหายได้ขึ้นแถลงในศาลว่าไม่ติดใจเอาความ โดยที่ลูกสาวของ พ.ต.ท.จตุพร โดยผู้รับมอบอำนาจแถลงว่า ได้รับแคชเชียร์เช็คจำนวน 45 ล้านบาท เป็นชื่อของลูกสาว พ.ต.ท.จตุพร จริง ซึ่งขณะนี้ศาลจังหวัดตลิ่งชันได้สอบคำให้การจำเลยแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลพิเคราะห์แล้ว จึงเห็นสมควรให้มีการสืบเสาะและพินิจจำเลยก่อนมีคำพิพากษาเเละรอฟังคำพิพากษา 31 กรกฎาคม