xs
xsm
sm
md
lg

“คำนูณ”โพสต์ FB แนะพลิกเหรียญอีกด้านจะเห็นของดีใน รธน.60

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “Kamnoon Sidhisamarn”ระบุว่า 
อีกด้านหนึ่งของเหรียญ ท่ามกลางกระแสโหมกระหน่ำวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญ 2560 ว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ สืบทอดอำนาจอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเราลองทำใจให้นิ่ง ค่อยๆ คิด พิจารณา รวมทั้งอ่านด้วย จะพบด้านที่ก้าวหน้าเป็นมิติใหม่และถือเป็นการปฏิรูปการเมืองไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นด้านที่เป็นประโยชน์ต่อการควบคุมตรวจสอบรัฐบาลของทั้งภาคประชาชนทั่วไปรวมทั้งภาคการเมืองในรัฐสภา

พูดง่ายๆ ว่า ใครขึ้นมาเป็นรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ต้องระมัดระวังการกระทำแทบทุกฝีก้าว ดูการอภิปรายในประเด็นคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาตลอดวันที่ 5 มิถุนายน 2562 หากรู้ที่มาที่ไปและได้อ่านรัฐธรรมนูญรวมทั้งติดตามข้อมูลข่าวสารมาพอสมควร จะเห็นได้ว่าที่ผมพูดมาเป็นจริง

ก็เรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมไงครับ พรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาแทบทุกคนจะหยิบยกประเด็นที่เราได้ยินว่า ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือที่หลายคนพูดกันสั้นๆ ว่า มาตรา 160 (5) หรือ วงเล็บ 5 อันเป็นคุณสมบัติ 1 ใน 8 ประการของรัฐมนตรี ขึ้นมากล่าวหาโจมตี

(รัฐมนตรีต้อง) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง บทบัญญัตินี้ไม่เคยมีมาก่อนในรัฐธรรมนูญฉบับไหนๆ

มาตรา 219 และ 279 รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้ต้องมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่ต้องระบุให้ชัดเจนว่าอย่างไร ร้ายแรง โดยกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันยกร่าง แต่ให้ใช้บังคับแก่ ส.ส. ส.ว. และรัฐมนตรีด้วย และให้จัดทำให้แล้วเสร็จใน 1 ปีนับแต่รัฐธรรมนูญประกาศใช้

มาตรา 235 กำหนดว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้มีโทษพ้นจากตำแหน่งและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตลอดไป อันทำให้ไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตลอดไป

ทั้งนี้ โดยกำหนดให้ศาลฎีกา (ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) เป็นองค์กรผู้ทำหน้าที่พิจารณาตัดสินว่าใครผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
การพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยกำหนดให้ใช้ระบบไต่สวน และให้ดำเนินการโดยรวดเร็ว
ถือเป็นภารกิจใหม่ล่าสุดเพิ่มเติมของศาลฎีกา
โดยได้นำประเด็นฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงไปบัญญัติไว้ในคุณสมบัติ 1 ใน 8 ข้อของรัฐมนตรีในมาตรา 160 ด้วยเป็นครั้งแรก

ขณะนี้มาตรฐานทางจริยธรรมที่ว่านี้แล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 แล้ว เรียกชื่อเต็มๆ ว่า มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 โดยหนึ่งในฐานการกระทำที่ถือว่าฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงคือ ข้อ 5 ต้องยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

ข้อนี้อยู่ในหมวดที่มาตรฐานฯกำหนดไว้ให้ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามขั้นร้ายแรง ระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการนี้ก็เข้าใจว่าเสร็จแล้วเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่มีตัวอย่างคดีเกิดขึ้น นี่คือหนึ่งในของดีที่ถือกำเนิดขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ 2560 ที่หลายคนทั้งในและนอกรัฐสภาก่นด่า แต่หลายคนในจำนวนนี้ก็ได้นำมาใช้เป็นตัวช่วย แทบจะเรียกได้ว่า ตัวช่วยหลัก เลยละในการอภิปรายโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในรัฐสภาเมื่อวานซืน
อันที่จริง ยังมีอีกมาตรการใหม่ๆ อีกมากในรัฐธรรมนูญนี้ที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตรวจสอบ
โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีอำนาจหน้าที่เป็นเนื้อเป็นหนังมีผลต่อการเมืองเพิ่มขึ้นกว่าเดิมชนิดที่จะทำให้ฝ่ายที่เป็นรัฐบาลต้องเหนื่อยเพิ่มเลยละ ไว้จะค่อยทยอยเล่าสู่กันฟัง

ที่เล่ามาเฉพาะประเด็นเดียวในวันนี้ก็เพื่อจะบอกเล่าอีกด้านหนึ่งของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกกระแสโหมกระหน่ำโจมตี ทั้งๆ ที่นี่คือรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ต่อการตรวจสอบและกำกับการทำงานของฝ่ายบริหารมากที่สุด เป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านมากที่สุด บทโหมโรงเริ่มต้นผมได้ชี้ให้เห็นกันแล้วในวันเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา จากนี้ไปฝ่ายบริหารจะต้องระมัดระวังแทบทุกฝีก้าวในการทำงาน เพราะเชื่อว่า ฝ่ายค้านเปิดรัฐธรรมนูญจองกฐินและผ้าป่ารอเป็นระยะๆ ไว้แล้ว