นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ ว่า ปกติเราจะมีคณะกรรมการควบคุมยาสูบประจำจังหวัดอยู่แล้ว แต่ที่ประชุมมีมติเพิ่มเติมให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทุกจังหวัดไปดำเนินการตั้งผู้รับผิดชอบหลักที่ชัดเจน 1 คน และผู้ช่วย 1-2 คน โดยให้มี 1 คนเป็นนักกฎหมาย เพื่อมาดำเนินการเรื่องการควบคุมยาสูบที่เหมาะสมกับพื้นที่ของตน เบื้องต้นมี 4 กลไกที่ต้องทำคือ จัดทำระบบเฝ้าระวังและติดตามผลิตภัณฑ์ยาสูบ ป้องกันนักสูบหน้าใหม่ โดยให้ประสานการทำงานร่วมกับโรงเรียนทั่วประเทศ ช่วยเหลือผู้เสพติดบุหรี่ให้เข้าสู่กระบวนการเลิกบุหรี่ และผลักดันเรื่องสถานที่ปลอดบุหรี่ให้สำเร็จ โดยบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเข้มข้น และนำบทเรียนที่ดีจากจังหวัดที่ดำเนินการเรื่องนี้สำเร็จแล้วเอามาปรับใช้ เช่น จังหวัดสงขลา สกลนคร อุดรธานี และเชียงราย เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมจะเร่งผลักดันเรื่องการบรรจุให้ยาเลิกบุหรี่มาอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติให้ได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการวางหลักเกณฑ์การจ่ายยา เบื้องต้นวางเกณฑ์การจ่ายยาไว้ให้เหมาะสมกับประเภทผู้สมควรรับยา และผู้สั่งจ่ายต้องเป็นแพทย์เท่านั้น
ด้านนายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า สำหรับเกณฑ์ของผู้ที่เหมาะสม สมควรได้รับจากลดอาการอยากบุหรี่ ตามที่จะเสนอคณะกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาตินั้น ประกอบด้วย 1. ต้องเป็นผู้ที่ตื่นนอนแล้ว สูบบุหรี่ทันทีภายใน 30 นาทีแรก 2.แม้ป่วยเป็นไข้หวัดแต่ก็ยังสูบบุหรี่ 3. แม้ทำงานอยู่ในห้องประชุมก็ต้องออกมาสูบบุหรี่ และ4. มีอัตราการสูบบุหรี่มากกว่า 20 มวนต่อวัน ซึ่ง ปัจจุบันพบอัตราการสูบบุหรี่ของคนกลุ่มนี้มีถึง 2 ล้านคน ขณะที่ผู้สูบบุหรี่ในอัตรา 10 มวนต่อวัน มีประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งคนกลุ่มนี้ หากอยากเลิกบุหรี่จะต้องได่รับคำปรึกษาทั่้วไป แต่ไม่ครอบคลุมบัญชียาหลักฯ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้ยา