จากกรณีที่ นายอนุชา สีหนาทกถากุล ทายาทโรงแรมแลนด์มาร์คฯ ฟ้องนายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา ประชาธิปัตย์ เหตุใส่ความบิดาของโจทก์ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2558 ทำนองว่าเป็นคนเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษา นายศิริโชค ให้จำคุก 2 ปี ปรับ 100,000 บาท โดยให้รอลงอาญา 2 ปี ซึ่งจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ไว้นั้น
วันนี้ (1 พ.ค.) ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า แม้โจทก์ไม่สามารถนำสืบเรื่อง IP Address แสดงตำแหน่งจุดผู้โพสต์จากระบบคอมพิวเตอร์ได้ชัดเจน แต่สามารถนำสืบเรื่อง URL ที่สอดคล้องกับเฟซบุ๊กจำเลยได้ที่มีทั้งชื่อและภาพโปร์ไฟล์ของจำเลย และเมื่อดูข้อความที่เคยโพสต์ ก็ล้วนเป็นข้อมูลภายในที่บุคคลภายใน และเกี่ยวข้องจะต้องทราบเท่านั้น เช่น ข้อมูลไฟดับภายในพรรคประชาธิปัตย์ จนเข้าเว็บไซต์พรรคไม่ได้ ข้อมูลการตรวจสอบเรื่องต่างๆ รวมทั้งคดีความระหว่างครอบครัวโจทก์กับครอบครัวจำเลย
ส่วนที่ว่าเคยมีเหตุการณ์การปลอมเฟซบุ๊กผู้มีชื่อเสียงนั้น แต่ไม่เคยปรากฏกรณีของจำเลยมาก่อน น้ำหนักพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กของตนซึ่งกล่าวพาดพิงถึงบิดาโจทก์ ผู้ตาย เกี่ยวกับเรื่องคดีกู้ยืมเงินระหว่างบิดาโจทก์ กับ น.ส.เสาวรส โสภา มารดาของนายศิริโชค จำเลย ทำให้บุคคลที่ 3 เข้าใจว่า เป็นบิดาโจทก์และครอบครัวโจทก์ เป็นคนไม่ดี คนโกง คนทำผิดกฎหมาย ซึ่งไม่ใช่การติชมโดยสุจริตเพื่อปกป้องตนโดยชอบธรรม อุทธรณ์ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นให้รอการลงโทษจำเลยนั้นเหมาะสมแล้วหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า แม้การกระทำนั้นเป็นการหมิ่นประมาทฯ แต่ยังสามารถเยียวยาโจทก์ด้วยการลงโฆษณา ขอโทษหรือคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ได้ ขณะที่นายศิริโชค จำเลย เคยทำความดีโพสต์เรื่องการใช้รถราชการขนยาเสพติดมาก่อน ซึ่งเป็นการตรวจสอบทำประโยชน์เพื่อสังคม และต้องเสี่ยงภัยต่อขบวนการยาเสพติดด้วย ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยผิดฐานหมิ่นประมาทฯ และให้รอลงอาญา จึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ด้านนายศิริโชค กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่า รู้สึกพอใจกับคำพิพากษาระดับหนึ่ง ส่วนจะมีการฎีกาอีกหรือไม่ ขอปรึกษากับทนายความก่อน สำหรับการโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์นั้น ยังไม่ได้ดำเนินการ เพราะที่ผ่านมา คดียังมีการอุทธรณ์อยู่ ผลคดียังไม่สิ้นสุด โดยหลังจากนั้น ฝ่ายโจทก์เองยังจะฎีกาอีกหรือไม่ ต้องรอดูเช่นกัน
วันนี้ (1 พ.ค.) ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า แม้โจทก์ไม่สามารถนำสืบเรื่อง IP Address แสดงตำแหน่งจุดผู้โพสต์จากระบบคอมพิวเตอร์ได้ชัดเจน แต่สามารถนำสืบเรื่อง URL ที่สอดคล้องกับเฟซบุ๊กจำเลยได้ที่มีทั้งชื่อและภาพโปร์ไฟล์ของจำเลย และเมื่อดูข้อความที่เคยโพสต์ ก็ล้วนเป็นข้อมูลภายในที่บุคคลภายใน และเกี่ยวข้องจะต้องทราบเท่านั้น เช่น ข้อมูลไฟดับภายในพรรคประชาธิปัตย์ จนเข้าเว็บไซต์พรรคไม่ได้ ข้อมูลการตรวจสอบเรื่องต่างๆ รวมทั้งคดีความระหว่างครอบครัวโจทก์กับครอบครัวจำเลย
ส่วนที่ว่าเคยมีเหตุการณ์การปลอมเฟซบุ๊กผู้มีชื่อเสียงนั้น แต่ไม่เคยปรากฏกรณีของจำเลยมาก่อน น้ำหนักพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กของตนซึ่งกล่าวพาดพิงถึงบิดาโจทก์ ผู้ตาย เกี่ยวกับเรื่องคดีกู้ยืมเงินระหว่างบิดาโจทก์ กับ น.ส.เสาวรส โสภา มารดาของนายศิริโชค จำเลย ทำให้บุคคลที่ 3 เข้าใจว่า เป็นบิดาโจทก์และครอบครัวโจทก์ เป็นคนไม่ดี คนโกง คนทำผิดกฎหมาย ซึ่งไม่ใช่การติชมโดยสุจริตเพื่อปกป้องตนโดยชอบธรรม อุทธรณ์ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นให้รอการลงโทษจำเลยนั้นเหมาะสมแล้วหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า แม้การกระทำนั้นเป็นการหมิ่นประมาทฯ แต่ยังสามารถเยียวยาโจทก์ด้วยการลงโฆษณา ขอโทษหรือคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ได้ ขณะที่นายศิริโชค จำเลย เคยทำความดีโพสต์เรื่องการใช้รถราชการขนยาเสพติดมาก่อน ซึ่งเป็นการตรวจสอบทำประโยชน์เพื่อสังคม และต้องเสี่ยงภัยต่อขบวนการยาเสพติดด้วย ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยผิดฐานหมิ่นประมาทฯ และให้รอลงอาญา จึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ด้านนายศิริโชค กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่า รู้สึกพอใจกับคำพิพากษาระดับหนึ่ง ส่วนจะมีการฎีกาอีกหรือไม่ ขอปรึกษากับทนายความก่อน สำหรับการโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์นั้น ยังไม่ได้ดำเนินการ เพราะที่ผ่านมา คดียังมีการอุทธรณ์อยู่ ผลคดียังไม่สิ้นสุด โดยหลังจากนั้น ฝ่ายโจทก์เองยังจะฎีกาอีกหรือไม่ ต้องรอดูเช่นกัน