พ.อ.ธนาวีร์ สุวรรณรัตน์ รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้สนับสนุนให้ส่วนราชการเปลี่ยนมาใช้ถังแก๊สคอมโพสิตนำร่อง และรณรงค์สร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เปลี่ยนการใช้ถังแก็สเหล็ก 15 กิโลกรัม เป็นถังคอมโพสิต ขนาด 11 กิโลกรัม เพื่อความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากถังแก๊สหุงต้มคอมโพสิตมีคุณสมบัติที่หลากหลาย รวมทั้งสามารถลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย การรณรงค์ให้ประชาชนเปลี่ยนถังแก๊สเหล็กให้เป็นถังแก๊สคอมโพสิตในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อลดความรุนแรงของการก่อเหตุระเบิดของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่
ทั้งนี้ เนื่องจากถังแก๊สแบบคอมโพสิตที่ถูกนำมาใช้แทนถังแก๊สเหล็กแบบเดิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นถังแก๊สที่ผลิตจากโพลิเมอร์และไฟเบอร์กลาส โดยถังภายในผลิตจากโพลิเมอร์ พันเคลือบด้วยไฟเบอร์กลาส ขณะที่ภายนอกเป็นโพลิเมอร์อีกชั้นหนึ่ง เพื่อเสริมความแข็งแรง ความเหนียว ความทนต่อแรงกระแทก การเฉือน และต้านทานต่อสภาวะแวดล้อม ทำให้ไม่เกิดประกายไฟเหมือนถังเหล็ก หากเกิดการกระแทกแบบรุนแรง
นอกจากนี้ ถังแก๊สคอมโพสิตมีจุดหลอมเหลวต่ำ หากได้รับความร้อนสูงจากภายนอกจะไม่ระเบิดออกเหมือนถังเหล็ก แต่จะละลายแทน ที่สำคัญมีน้ำหนักที่เบา ไม่เกิดสนิม ทนต่อการกัดกร่อน และมีอายุการใช้งานนานกว่าถังเหล็ก โดยถังแก๊สคอมโพสิตบรรจุแก๊สขนาด 11 กิโลกรัม น้ำหนักถัง 6.5 กิโลกรัม อายุการใช้งานสูงถึง 20-30 ปี ในขณะที่ถังเหล็กบรรจุแก๊สขนาด 15 กิโลกรัม มีน้ำหนักถัง 16.5 กิโลกรัม มีอายุการใช้งาน 10-15 ปี
อย่างไรก็ตาม ทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จึงขอเชิญชวนประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เปลี่ยนมาใช้ถังแก๊สคอมโพสิตเพื่อความปลอดปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และช่วยสร้างสันติสุขลดเหตุรุนแรงในพื้นที่