วันนี้ (6 ธ.ค.) นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ ฟิล์ม พระเอกและนักแสดงชื่อดัง พร้อมด้วยนายศราวุฒิ นนทะภา นายธเนศ จัตวาพรพานิช อายุ 43 ปี และนายภูมิพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ จำเลยในคดีร่วมกันประกอบธุรกิจบัตรชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาต เดินทางมาฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัทเพย์ออล กรุ๊ป จำกัด โดย นายศราวุฒิ กรรมการผู้มีอำนาจ พร้อมด้วยนายรัฐภูมิ นายธเนศ และนายภูมิพัฒน์ ฐานะกรรมการบริษัทร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันประกอบธุรกิจ บัตรชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้รับอนุญาต
ทั้งนี้ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะประวัติครอบครอบครัว การทำงานการศึกษาของพวกจำเลยและอื่นๆ เพื่อนำมาพิจารณาประกอบคำพิพากษา และอนุญาตให้พวกจำเลยมีประกันตัวไปคนละ 200,000 บาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
สำหรับคดีนี้ อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างเดือนตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้ง 4 คนบังอาจร่วมกันประกอบกิจการให้บริการแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือภายใต้ชื่อ เพย์ออล (Payall) และสมัครสมาชิกเพื่อสร้างบัญชีของผู้ใช้บริการ ซึ่งระบบจะตั้งบริษัทสมาชิก รหัสผ่านในการใช้งาน และเติมเงินผ่านเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยตามช่องทาง โดยระบบจะบันทึกจำนวนเงินที่เติมตามมูลค่าของผู้ใช้บริการแต่ละราย รวมทั้งนำเงินที่ชำระไว้ล่วงหน้าไว้ชำระค่าสินค้า และค่าบริการต่างๆ แทนเงินสด การกระทำของพวกจำเลยมีลักษณะร่วมกันประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการโอนสิทธิการถือครองเงิน และการโอนสิทธิการถอนเงิน หรือหักเงินผ่านบัญชีหรือแอปพลิเคชันของผู้ใช้บริการโดยไม่จำกัด และไม่อยู่ภายใต้ระบบการจัดจำหน่าย ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2551 และบัญชีท้ายตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2551 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย โดยจำเลยทั้งหมดให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดี และเดินทางมาฟังคำพิพากษาตามนัดหมาย
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งหมดมีความจริงที่ประกอบกิจการบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 เสียค่าปรับเป็นเงิน 200,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ถึง 4 ให้จำคุก 1 ปี ปรับ 100,000 บาท แต่จำเลยรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 6 เดือน ปรับ 50,000 บาท แต่จำเลยไม่เคยกระทำความผิดและมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 2 ปี โดยต้องมารายงานตัว 1 ปีและบำเพ็ญประโยชน์ 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะประวัติครอบครอบครัว การทำงานการศึกษาของพวกจำเลยและอื่นๆ เพื่อนำมาพิจารณาประกอบคำพิพากษา และอนุญาตให้พวกจำเลยมีประกันตัวไปคนละ 200,000 บาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
สำหรับคดีนี้ อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างเดือนตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้ง 4 คนบังอาจร่วมกันประกอบกิจการให้บริการแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือภายใต้ชื่อ เพย์ออล (Payall) และสมัครสมาชิกเพื่อสร้างบัญชีของผู้ใช้บริการ ซึ่งระบบจะตั้งบริษัทสมาชิก รหัสผ่านในการใช้งาน และเติมเงินผ่านเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยตามช่องทาง โดยระบบจะบันทึกจำนวนเงินที่เติมตามมูลค่าของผู้ใช้บริการแต่ละราย รวมทั้งนำเงินที่ชำระไว้ล่วงหน้าไว้ชำระค่าสินค้า และค่าบริการต่างๆ แทนเงินสด การกระทำของพวกจำเลยมีลักษณะร่วมกันประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการโอนสิทธิการถือครองเงิน และการโอนสิทธิการถอนเงิน หรือหักเงินผ่านบัญชีหรือแอปพลิเคชันของผู้ใช้บริการโดยไม่จำกัด และไม่อยู่ภายใต้ระบบการจัดจำหน่าย ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2551 และบัญชีท้ายตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2551 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย โดยจำเลยทั้งหมดให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดี และเดินทางมาฟังคำพิพากษาตามนัดหมาย
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งหมดมีความจริงที่ประกอบกิจการบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 เสียค่าปรับเป็นเงิน 200,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ถึง 4 ให้จำคุก 1 ปี ปรับ 100,000 บาท แต่จำเลยรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 6 เดือน ปรับ 50,000 บาท แต่จำเลยไม่เคยกระทำความผิดและมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 2 ปี โดยต้องมารายงานตัว 1 ปีและบำเพ็ญประโยชน์ 24 ชั่วโมง