xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [16 พฤศจิกายน 2561]

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สัปดาห์นี้ผมมีภารกิจสำคัญในต่างประเทศต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์ โดยเริ่มจากวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส ตามคำเชิญของประธานาธิบดี นายแอมานุแอล มาครง เช่นเดียวกับผู้นำประเทศ ผู้นำรัฐบาล รวมถึงหัวหน้าองค์การระหว่างประเทศกว่า 120 คน เพื่อเข้าร่วมในงานวันรำลึกการครบรอบ 100 ปี การยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน และเป็นเครื่องเตือนใจว่า เราชาวโลกจะต้องไม่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมอันร้ายแรงแสนสาหัสแก่มวลมนุษยชาติเช่นนี้ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป

จากนั้น ได้ร่วมในการประชุมสันติภาพปารีส ซึ่งเป็นเวทีระดมสมองเพื่อหาข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมด้านสันติภาพ ธรรมาภิบาล และการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีผู้แทนทั้งจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม องค์การอาสาสมัครเอกชน สมาคม และหน่วยงานที่เป็นแหล่งความคิด เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งในการนี้ผมได้มอบหนังสือไว้ 3 เล่ม ให้ห้องสมุดสันติภาพ กรุงปารีส เป็นหนังสือที่นอกจากจะสะท้อนแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้ว ยังจะช่วยนำพามวลมนุษยชาติก้าวไปสู่การสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนร่วมกันอีกด้วย ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ชาวโลกได้ศึกษาและซึมซับพระอัจฉริยภาพของในหลวงของเรา ซึ่งจะถูกจารึกไว้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกด้วย

ระหว่างวันที่ 13-15 พฤศจิกายน ผมได้มีโอกาสเดินทางต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นการประชุมในระดับผู้นำอาเซียนครั้งสุดท้ายที่สิงคโปร์จะเป็นประธาน โดยนอกจากผู้นำอาเซียนแล้ว ก็ยังมีผู้นำประเทศคู่เจรจาของอาเซียน อันได้แก่ ออสเตรเลีย จีน สาธารณรัฐเกาหลี รัสเซีย ญี่ปุ่น อินเดีย สหรัฐอเมริกา และนิวซีแลนด์ รวมทั้งผู้นำจากภาคีภายนอกและองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ ได้เข้าร่วมหารือในวาระต่าง ๆ หลายเรื่องด้วยกัน

ในการนี้ มีการรับรองเอกสารผลลัพธ์จำนวน 7 ฉบับ และได้รับทราบเอกสารแนวคิด ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งไทยเป็นผู้เสนอ โดยจะมีการเปิดตัวศูนย์ฯ อย่างเป็นทางการในปี 2562 เมื่อประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน

ในการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ผมได้เน้นย้ำความสำคัญของประเด็นการสร้างความเข้มแข็งของประชาคมอาเซียน ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ในเรื่องการส่งเสริมความยั่งยืนให้อาเซียนในทุกมิติ การเสริมสร้างหุ้นส่วนที่มีกับประเทศคู่เจรจาและประชาคมโลก รวมถึงการลดอุปสรรคทางการค้า การเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันภายในภูมิภาค และการเร่งรัดการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งมีความสำคัญที่สุดสำหรับอาเซียนเรา ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปีหน้า ในเรื่องการส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค และยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงด้านต่างๆ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม โทรคมนาคมและการสื่อสาร กฎระเบียบ และการเชื่อมโยงในระดับประชาชน เพื่อจะก้าวไปสู่อาเซียนที่ไร้รอยต่อ ทั้งนี้ เราจะสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านระบบดิจิทัล และการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเงิน ที่เรียกว่า FinTech เพื่อจะส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อม ขนาดเล็ก และขนาดกลาง ของเราด้วย

สิ่งที่เราชาวอาเซียนจะต้องเผชิญและรับมือร่วมกันในปัจจุบันและในอนาคต ก็คือภัยคุกคามด้านความมั่นคง ทั้งรูปแบบดั้งเดิมและรูปแบบใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ประชาชนชาวอาเซียนจำเป็นต้องตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการบริหารจัดการชายแดน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการภัยพิบัติ และการเสริมสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์ อีกด้วย โดยอยู่ในกรอบของความเชื่อมโยงภายในภูมิภาค และความเชื่อมโยงระดับยุทธศาสตร์ต่างๆ อาทิ แนวคิดอินโด-แปซิฟิก แผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน Belt and Road Initiatives ของจีน Quality Infrastructure ของญี่ปุ่น และ ACMECS Master Plan ซึ่งกรอบความร่วมมือเหล่านี้จะต้องดำเนินการร่วมกันเป็นภาพรวม บนพื้นฐานหลักการ 3Ms ที่สำคัญคือ การไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน (Mutual Trust) ความเคารพซึ่งกันและกัน (Mutual Respect) และผลประโยชน์ร่วมกัน (Mutual Benefit) ทั้งนี้ เพื่อจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และเกิดความยั่งยืนในทุกมิติร่วมกัน

เหตุการณ์สำคัญของปวงชนชาวไทยจากการประชุมนี้ ก็คือเราได้รับมอบตำแหน่งประธานอาเซียนอย่างเป็นทางการจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นปีที่ 51 ของอาเซียน ที่เกิดจากการริเริ่มของไทย โดยผมได้กล่าวขอบคุณประเทศสิงคโปร์ บนความสำเร็จในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้มีความเข้มแข็งและก้าวหน้าด้านนวัตกรรมเป็นอย่างมาก ซึ่งเรา ประเทศไทย จะสานต่อทุกประเด็นที่อาเซียนให้ความสำคัญในช่วงที่ผ่านมา เพื่อจะรักษาความต่อเนื่อง อาทิ เครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน ซึ่งไทยมีกรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต เป็นเมืองนำร่อง เป็นต้น ในการนี้ ผมได้ประกาศแนวคิดสำหรับการเป็นประธานอาเซียนของไทย ในปี 2562 คือ "ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน" ซึ่งแต่ละคำมีความหมายที่ลึกซึ้ง ดังนี้

การร่วมมือ ร่วมใจ ก็คือ ความเชื่อมโยง ผ่านการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนภายในอาเซียน และกับประชาคมโลกอื่นๆ โดยเน้นการสร้างความร่วมมือ "อาเซียน พลัสวัน" และโครงสร้างภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลาง ที่จะต้องคำนึงถึงความสมดุล และประโยชน์ต่อประชาชนเป็นสำคัญ รวมถึงเพิ่มบทบาทของอาเซียนในเวทีโลก เพื่อจะช่วยกันแก้ไขปัญหาสำคัญต่างๆ ที่จะส่งผลต่อภูมิภาคและประชาคมโลก

การก้าวไกล ก็คือการมองไปสู่อนาคต โดยให้อาเซียนร่วมกันมอง ร่วมก้าวไปด้วยกัน สู่อนาคตอย่างมีพลังและต่อเนื่อง โดยใช้ประโยชน์จากวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี เพื่อจะสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่ไปกับการสร้างภูมิคุ้มกันจากเทคโนโลยีก้าวกระโดด และความท้าทายต่างๆ ที่จะมีเข้ามาในอนาคต เพื่อเราจะก้าวไปสู่ดิจิทัลอาเซียนร่วมกัน และ

ความยั่งยืน ก็คือ การสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่นคง และความสงบสุขของประเทศ รวมทั้งความยั่งยืนด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ เราและอาเซียนควรมีมุมมองที่ตรงกัน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความยั่งยืน โดยการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามสโลแกนดังกล่าวมาแล้ว ตัวอย่างที่เราจะดำเนินการ เช่น ในทุกๆ การประชุมตลอดทั้งปี จะจัดในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามแนวทาง 3R ซึ่งจะเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ในการประชุมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดขยะพลาสติก เช่น ขวดน้ำดื่มทำจากแก้ว ใช้ของที่ระลึกจากวัสดุธรรมชาติ ใช้ถุงผ้า ลดการใช้กระดาษ และลดการพิมพ์เอกสารให้เหลือน้อยที่สุด ผมจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนให้สอดคล้องกับแนวคิดของการเป็นประธานอาเซียนของไทย เพื่อจะสร้างพลังที่เริ่มจากจุดเล็กๆ เพื่อให้สามารถขยายไปสู่การปฏิบัติได้จริง ตามแนวทางดังกล่าวในวงกว้างต่อไป

ซึ่งปีหน้าตลอดทั้งปีเราจะต้องเป็นเจ้าภาพการประชุมกว่า 170 การประชุม ภายใต้กรอบความร่วมมือด้านต่างๆ ของอาเซียน ผมขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนให้ติดตามข้อมูลข่าวสาร และทุกกำหนดการประชุมได้ จากเว็บไซต์ www.asean2019.go.th หรือสื่อโซเชียลต่างๆ เพื่อจะรับทราบความคืบหน้าของงานและการประชุมในสถานที่ต่างๆ อีกทั้งในการประชุมใหญ่ๆ หลายครั้งที่จะจัดขึ้นนั้น ก็จะมีผู้นำประเทศ หรือผู้แทนระดับสูง เดินทางมาเยือนบ้านเมืองของเรา และเข้าร่วมการประชุมด้วย อาจจะทำให้ต้องมีการจัดการจราจรเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้มาเยือนเหล่านั้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการสัญจรของพี่น้องประชาชนในเส้นทางผ่าน และพื้นที่การประชุมบ้าง ผมไปประชุมประเทศอื่นๆ เขาก็ทำเหมือนกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน รัฐบาลก็จะพยายามดำเนินการให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ผมขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจ และขอให้ร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ในการเตรียมต้อนรับอาคันตุกะของเรา เช่นเดียวกับที่ประเทศเจ้าภาพอาเซียนที่ผ่านๆ มา ก็ได้ให้เกียรติ อำนวยความสะดวกแก่ผู้นำ ผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศสมาชิกมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ในกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่การประชุมต่างๆ เราจะกระจายตัวออกไปในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นการใช้จ่ายให้กับเศรษฐกิจชุมชน ดังนั้น พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนย่อมมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าภาพที่ดี ให้การต้อนรับผู้นำประเทศและผู้เข้าร่วมประชุมทุกระดับ ซึ่งถือว่าเป็นผู้แทนจากประเทศสมาชิกต่างๆ ด้วยการช่วยกันสอดส่องดูแล เป็นหูเป็นตา ให้ความช่วยเหลือ และมอบมิตรไมตรี เพื่อจะสร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่มาเยือน และอยากกลับมาที่บ้านเราอีก เมื่อกลับไปที่บ้านเมืองของเขาแล้ว จะได้นำไปเล่าต่อให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว หรือนักลงทุนบ้านเขา ให้อยากมาสัมผัสเมืองไทยของเราอีก

และสำหรับช่วงวันที่ 15-18 พฤศจิกายนนี้ ผมจะเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 26 ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี ปาปัวนิวกินี ซึ่งรายละเอียดและผลจากการประชุมนั้น ผมจะนำมาเล่าให้พี่น้องประชาชนได้ติดตาม และรับฟังในภายหลัง

พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ ผมอยากจะใช้เวลาในช่วงท้ายรายการนี้ เพื่อตอบคำถาม 5 ประเด็นที่พี่น้องประชาชนได้ร่วมกันโหวตว่าอยากฟังหลักคิด นโยบายจากผมมากที่สุด ดังนี้

1. ทำอย่างไรถึงจะแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบได้จริง การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนกู้ในระบบ และมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยต่างๆ ซึ่งหลายอย่างที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งมาตรการทางภาษี มาตรการอำนวยความยุติธรรม รวมทั้งผลักดันกฎหมายสำคัญๆ เช่น กฎหมายขายฝาก ที่จะช่วยปลดล็อกสัญญาเอารัดเอาเปรียบของนายทุน ผู้มีอิทธิพล ประกอบกับการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ โดยให้เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง ที่ยึดทั้งหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับผู้มีรายได้น้อย นอกจากนี้ ยังผลักดันกฎหมายธนาคารชุมชน เพื่อยกระดับสถาบันการเงินในชุมชนให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล ซึ่งจะเปิดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายและทั่วถึง นับเป็นกลไกสำคัญในการที่จะสร้างความเข้มเเข็งจากฐานราก ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญในเรื่องการเงินระดับชุมชนและหมู่บ้าน โดยเราตั้งเป้าให้มีธนาคารชุมชนเข้าร่วมเป็นนิติบุคคลราว 7,000 แห่ง จากทั้งหมด 30,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมียอดเงินฝากรวมถึง 2 แสนล้านบาท โดยร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้คาดว่าจะผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ในเร็วๆ นี้ ภายใต้รัฐบาลชุดนี้

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาความยากจนให้ยั่งยืนนั้น สิ่งสำคัญคือตนเองที่จะต้องยึดแนวทางวิถีพอเพียง ที่จะเป็นภูมิคุ้มกันให้ปราศจากหนี้สิน นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อจะปลูกฝังวินัยการออม และสนับสนุนให้ประชาชนทำบัญชีครัวเรือน เพื่อสามารถนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และกำหนดแนวทางเพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับแต่ละครัวเรือน ผมก็เชื่อมั่นว่าด้วยมาตรการ กฎหมาย และแนวทางที่รัฐบาลนี้ได้วางรากฐานเอาไว้ จะช่วยให้พี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองได้อย่างยั่งยืนด้วยตนเองในที่สุด

2. อยากให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เด็ดขาด เพื่อขจัดคนชั่วให้หมดไปจากบ้านเมือง การปลูกจิตสำนึก ความรับผิดชอบ และรู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม ซึ่งก็เป็นความตั้งใจแรกเริ่มที่ผมเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม เราอาจจะยังไม่มีเจ้าหน้าที่ที่เพียงพอที่จะดูแลในสิ่งเหล่านี้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เราทุกคนสามารถเป็นหูเป็นตา เสริมกลไกการทำงานภาครัฐ ช่วยกันสอดส่องป้องกัน ปิดประตูโอกาสในการกระทำความผิด ทั้งนี้ การปกครองบ้านเมืองนั้น เราไม่อาจจะมองเพียงแต่การปราบปราบผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่เราควรจะส่งเสริมให้ทุกคนมีคุณธรรม จริยธรรมด้วย เพราะการเอาโทษผู้กระทำผิดนั้น เป็นเพียงการลดจำนวนคนไม่ดีออกไปจากสังคม ในขณะที่การเปลี่ยนคนไม่ดีนั้นให้เป็นคนดี นอกจากจะลดคนไม่ดีแล้ว ยังสามารถเพิ่มคนดีให้กับสังคมได้ในเวลาเดียวกัน

สำหรับวิธีการนั้น ศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้สร้างกลไกพื้นฐานที่หลายคนอาจหลงลืมไป ก็คือ "บวร" (บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่จะช่วยซึมซับคุณธรรม ความดีในจิตใจของคนไทยตั้งแต่เป็นเด็ก ตั้งแต่ที่บ้าน ปัจจุบันเรามีวัด มีโรงเรียนประจำชุมชน หากสามารถจะเชื่อมโยงเข้าสู่วิถีชีวิตของคนในชุมชน มีกิจกรรมร่วมกันบ่อยครั้งขึ้น ผมเชื่อว่ากลไกบวรนั้นก็จะช่วยสร้างพลเมืองดีของประเทศได้ และเราทุกคนที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข การไปที่โรงเรียน การไปที่วัด หรือแม้กระทั่งที่บ้านก็ตาม ควรต้องมีการพูดคุยกันในเรื่องเหล่านี้ด้วย ไม่อย่างนั้นเราไปเราไม่ได้พูดอะไรกันให้เป็นสาระมากนัก เป็นการพบปะ ทำบุญร่วมกัน อะไรร่วมกัน แต่ไม่ได้อะไรกลับมามากนักในเชิงแนวความคิด และสร้างจิตสำนึกที่มีการเผื่อแผ่แบ่งปัน ลดปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ ในชุมชนให้มันน้อยลง ลดความขัดแย้งด้วยตัวเอง สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้บ้านเมืองของเรามีความสงบสุขและปลอดภัยอย่างยั่งยืน

3. อยากให้เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น ป่าและทะเล ให้มากๆ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ขยายพื้นที่ป่าให้มี 50 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ การส่งเสริมอาชีพประมงถูกกฎหมาย เพื่อความยั่งยืนของท้องทะเล สนับสนุนเกษตรอินทรีย์ และการเกษตรที่ใช้พื้นที่น้อยแต่มีคุณภาพ ในประเด็นข้อนี้น่าจะมาจากกลุ่มนักอนุรักษ์ที่ติดตามการดำเนินงานของรัฐบาลนี้อย่างต่อเนื่อง ก็มีแนวความคิดที่ตรงกับผมและรัฐบาล ว่าการพัฒนาบ้านเมืองนับแต่นี้ไป จะต้องเป็นการพัฒนาที่สมดุล เพื่อความยั่งยืน คำนึงถึงสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติด้วย รัฐบาลนี้ตอบสนองทุกๆ วาระของโลก ในการเอาจริงเอาจริงกับการบริหารจัดการขยะ โดยอย่างยิ่งขยะทะเล และส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ โดยเพื่อให้เป็นพลังงาน การหยุดยั้งขบวนการบุกรุก เพื่อทวงคืนผืนป่า ก็มีผู้เดือดร้อนมากมาย ทั้งนี้ ก็เนื่องจากการปล่อยปละละเลยในช่วงที่ผ่านมา เราก็พยายามทำให้ดีที่สุด หลายเรื่องทำอย่างที่ท่านต้องการ แต่จะมีผลกระทบต่อคนจำนวนมาก มันต้องหาวิธีการที่เหมาะสมว่าเราจะทำอย่างไร เพราะเราก็คือคนไทย เราไม่ต้องการจะเอื้อประโยชน์ให้กับใครทั้งสิ้น แต่ปัญหามันเกิดขึ้นมานานมาก ถ้าเราบังคับใช้กฎหมายเต็มที่ เดือดร้อนแน่นอน มากมาย แล้วก็จะเกิดปัญหาความวุ่นวาย อย่างเช่นที่เกิดมาโดยตลอด แต่เราต้องยึดถือกฎหมายเป็นหลักการในการแก้ปัญหา

ในเรื่องต่างๆ เหล่านี้เราได้มีการแก้ไขกฎหมายมากมาย ในเรื่องของการทำประมง เพื่อจะสร้างบรรยากาศทางการประมง ที่สอดคล้องกับกติกาสากล นี่ก็เดือดร้อนเหมือนกัน เราก็มุ่งหวังจะสร้างความยั่งยืนให้กับการประมง ให้กับท้องทะเลของเรา ไม่ทำร้ายธรรมชาติ ไม่ทำลายระบบนิเวศ และฟื้นฟูท้องทะเลไทย ให้เวลาสัตว์น้ำได้ขยายพันธุ์ รวมทั้งการตัดวงจรการใช้แรงงานทาส การค้ามนุษย์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมประมงที่ถูกปล่อยปละละเลยมานานมาก

สำหรับด้านการเกษตรนั้น ผมเห็นว่าประเทศไทยเราจะสามารถเป็นครัวโลกได้ ด้วยความเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งเรื่องดินและน้ำ เพียงแต่เราต้องมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่จะทำงานภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน ทั้งนี้ นโยบายตลาดนำการผลิตสำคัญที่สุด และเรื่องของเกษตรอินทรีย์ ก่อนจะไปตรงนั้นก็เกษตร GAP ให้ได้ก่อน คือเกษตรปลอดภัย ตรงไหนทำได้ก็ทำเลย เกษตรอินทรีย์ถ้ายังไม่ได้ก็ไป GAP ก่อน และก็ไปสู่เกษตรอินทรีย์ในอนาคตอันใกล้ เราไม่อาจจะทำทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จได้ หากปราศจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ ก็คือ หนึ่ง การทำงานที่ประสานสอดคล้องกัน บูรณาการกัน ของหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง หรือตั้งแต่แหล่งผลิต ขั้นตอนการแปรรูป การขนส่ง ไปจนถึงการตลาดภายในและภายนอกประเทศ สอง เกษตรกรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตน จากการทำเกษตรแบบดั้งเดิม ตามคำแนะนำของหน่วยงานราชการ กล้าที่จะหันมาปลูกเกษตร GAP เกษตรปลอดภัย และเกษตรอินทรีย์ที่มีตลาดชัดเจน จำกัด แต่มีมูลค่าสูง ไม่ปลูกพืชตามความเคยชิน ตามยถากรรม ซึ่งนอกจากจะได้ผลผลิตที่อาจจะไม่คุ้มค่าแล้ว บ่อยครั้งก็ทำให้ผลผลิตล้นตลาด ทำให้ราคาตก รัฐบาลก็จำเป็นต้องยื่นมือมาช่วยเหลือ ลักษณะเช่นนี้จะเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ใช้งบประมาณจำนวนมาก และก็เกิดขึ้นมาตลอดตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เราต้องรีบแก้แล้วในวันนี้

4. อยากจะให้ช่วยแก้ปัญหายาเสพติดและมีบทลงโทษที่หนักขึ้น การแก้ปัญหาอาชญากรนั้นขอให้มีกระบวนการขั้นตอนที่เด็ดขาด เข้มงวดให้เหมือน 10 20 30 ปีที่แล้ว ซึ่งแนวทางแก้ปัญหาเหล่านี้ รากเหง้าของปัญหา ก็คือ เรื่องของปากท้อง และความอบอุ่นในครอบครัว เพราะไม่มีใคร ครอบครัวใด ที่กินอิ่ม นอนหลับ สมาชิกในครอบครัวรักใคร่ใกล้ชิดกันดี จะหันเหตนเองให้หลงใหล สนใจ เผลอตัว ไปในเส้นทางเสื่อมเหล่านี้แบบโงหัวไม่ขึ้น ดังนั้น ผมคิดว่านี่ล่ะคือต้นตอของปัญหา คือความต้องการ ดังนั้น ผมคิดว่าเราต้องแก้ที่ต้นตอของปัญหา ทำให้ทุกครัวเรือนของไทยอยู่ดีมีสุข มีรายได้ที่พอเพียง เลี้ยงครอบครัว มีการศึกษาที่ดี จึงเป็นที่มาของนโยบายต่างๆ เพื่อพี่น้องผู้มีรายได้น้อย อาทิ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การขจัดหนี้นอกระบบ เป็นต้น

นอกจากนี้ ผมเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมาย การลงโทษที่เด็ดขาด รุนแรง เป็นเพียงมาตรการปลายเหตุ ไม่ใช่การป้องกัน แต่เป็นการแก้ไข อาจจะไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุดนัก นอกจากนี้ ลดผู้เสพ นโยบายผู้เสพคือผู้ป่วย ให้โอกาสคนดีคืนสู่สังคม และส่งเสริมวิชาชีพ ปราบปรามผู้ขาย ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย โดยใช้กฎหมายที่เป็นธรรมและถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เราจะต้องดำเนินการในลักษณะที่เป็นการลดทั้ง demand และ supply ด้วย

ข้อสุดท้าย พี่น้องประชาชนอยากทราบว่าผมมีแนวความคิดอย่างไรในการแก้ปัญหาระบบการศึกษาของไทย ผมยอมรับว่าแก้ยากเหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าตรงกัน คือการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ เราจะทำอย่างไร มันเป็นต้นตอของทุกปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น หมายถึง ถ้าระบบการศึกษาดี เราคงไม่ต้องมาตามแก้ปัญหาเดิมๆ เราควรจะมีเวลาเหลือไปสร้างสรรค์ในสิ่งใหม่ๆ มากขึ้น โดยการศึกษานั้นอย่างน้อยเราต้องยึดหลักการสำคัญ และมีสิ่งที่ควรพึงระลึกอยู่เสมอ ก็คือ

1. เราเรียนรู้ เราต้องเรียนเพื่อประกอบอาชีพ และเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมให้ได้ต่อไป ดังนั้นการศึกษาต้องตอบโจทย์เหล่านี้ ไม่ใช่เรียนแล้วไม่มีงานทำ ไม่มีเป้าหมายในการทำงาน หรือทำงานไม่ได้

2. การเรียนในวันนี้เพื่อใช้งานในวันหน้า ดังนั้นบทเรียนและหลักสูตรจะต้องถูกออกแบบอย่างมีวิสัยทัศน์ เป็นองค์ความรู้ในศตวรรษที่ 21 ในยุคดิจิทัล ที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ก็มองไปข้างหน้า เตรียมขับเคลื่อนไปสู่อนาคต เช่น หากจะเรียนวิชาการเกษตร เนื่องจากเราเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่กว่าจะเรียนจบ ตั้งแต่ประถม มัธยม อุดมศึกษา ก็ใช้เวลา 6 + 6 + 4 16 ปีเข้าไปแล้ว สิ่งที่เรียนก็จะเริ่มล้าสมัย หากไม่มีการปรับปรุงหลักสูตรอยู่เสมอ ดังนั้น การวิจัยและพัฒนาก็ต้องแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ๆ ป้อนสถานศึกษาด้วย ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่การต่อยอดในเชิงพาณิชย์ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ

3. การปฏิรูปการศึกษา ก็เหมือนกับการปฏิรูปด้านอื่นๆ ที่เราต้องมองตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง มองให้เห็นทะลุเป็นเส้นตรงเดียวกัน ต้องช่วยกันมอง ช่วยกันออกแบบ และมีการปรับปรุงแก้ไขตลอดเวลา รัฐบาลก็คือทีมไทยแลนด์ ต้องทำงานบูรณาการกัน กระทรวงศึกษาธิการในฐานะผู้ผลิต ซึ่งก็มีหลายส่วนด้วยกัน ทั้งประถม มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา อุดมศึกษา มีทั้งในระบบ นอกระบบ ซึ่งมีความแตกต่างกันไปในการบริหาร เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องมาหารือกัน ต้องพูดคุยกันกับกระทรวงเกษตรฯ อุตสาหกรรม และกระทรวงอื่นๆ ที่เป็นผู้ใช้แรงงานด้วย ทำอย่างไรจะให้เด็กเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ไปด้วย เช่น เราตั้งเป้าหมายในการสร้าง 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย มีอะไรบ้าง กระทรวงต่างๆ ก็ต้องมาพูดคุยกันให้ข้อมูลไป เพื่อจะให้กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำหลักสูตรการศึกษา โดยไม่ทิ้งให้เป็นหน้าที่เฉพาะของกระทรวงศึกษาธิการเพียงอย่างเดียว ทุกหน่วยงานก็ต้องเตรียมทำงานของตัวเองให้สอดคล้องไปด้วย กล่าวได้ว่า ผมอาจจะกำหนดวิสัยทัศน์ได้ คิดได้ แต่ก็อาจจะทำได้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือนำไปสู่การปฏิบัติด้วยตัวผมคนเดียวทั้งหมด หรือด้วยรัฐบาลทั้งหมด หรือกระทรวงศึกษาธิการทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้ ผมต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และทุก ๆ คน

4. การศึกษาต้องไม่เพียงแต่สร้างคนเก่ง แต่ต้องเป็นคนดีด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ว่าความรู้คู่คุณธรรม จึงจะนับได้ว่าสำเร็จการศึกษาวิชาชีวิตด้วย นอกจากนี้ การศึกษาผมคิดว่าขึ้นอยู่กับสถานบันการศึกษา ครู เด็กผู้เรียนด้วย ที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องเอาใจใส่ ร่วมมือกัน มีหน้าที่ร่วมกันทั้งสองฝ่ายทั้งฝ่ายให้และฝ่ายรับ ในการถ่ายทอดวิชาความรู้ คุณธรรม มีความกระตือรือร้น การนำไปใช้ประกอบสัมมาอาชีพในชีวิตประจำวันอีกด้วยในอนาคต

สำหรับเรื่องปัญหาพืชผลทางการเกษตรก็มีสถานการณ์น่าเป็นห่วง เนื่องจากตลาดภายนอกประเทศต้องมาเจอปัญหากับสงครามทางการค้า และเศรษฐกิจที่บางพื้นที่อาจจะยังคงไม่ฟื้นตัวดีนัก มีกติกาใหม่ๆ มากมาย ราคาน้ำมันก็ยังผันผวน มีขึ้นบ้าง ลงบ้าง สภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน ทำให้ราคาส่งออกสินค้าเกษตรของเราและของทุกประเทศ ไม่ใช่ของเราประเทศเดียว ประเทศรอบบ้านที่ผมไปประชุมอาเซียนมาก็มีปัญหาหมด ไม่ว่าจะยาง ไม่ว่าจะปาล์ม ก็ยังโชคดีที่ข้าวปีนี้ดีขึ้น แต่หลายๆ ประเทศก็เจอพายุเข้าไป เพราะฉะนั้นการกำหนดราคาในการที่จะส่งออกไป อาจจะยังไม่แน่นอนมากนัก ขึ้นอยู่กับความต้องการภายนอกว่ามาก/น้อยเพียงใด รัฐบาลก็พยายามจะหามาตรการที่เหมาะสมแก้ไขให้อยู่ โดยเฉพาะปัญหาที่เดือดร้อนมากก็คือยาง เราต้องยอมรับนะครับว่าที่ผ่านมาเราพยายามส่งเสริมในการใช้ยางในประเทศมากแล้วนะครับ แต่ก็ยังเป็นไปได้ช้า เพราะโรงงานต่างๆ ก็ยังสร้างไม่เสร็จ เราผลิตมาได้โดยประมาณ 4.5 ล้านตันต่อปี เราใช้ในประเทศประมาณ 5 แสนตันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นอีก 4 ล้านตัน ต้องส่งขายออกนอกประเทศ ราคา เราก็ถูกกดราคาจากภายนอก มีการปลูกในพื้นที่อื่นๆ ด้วย ในต่างประเทศอีกด้วย เพราะเขาต้องการความมั่นคงทางด้านพลังงานของเขาเหมือนกัน อาหารด้วย และหลายประเทศก็มีปัญหาในเรื่องของการใช้น้ำมันปาล์ม แม้กระทั่งเอาน้ำมันปาล์มไปผลิตเป็นพืชพลังงานก็มีปัญหาทั้งหมด รัฐบาลก็ต้องแก้ปัญหาทั้งในพหุภาคีด้วย และทวิภาคีด้วย ทั้งในประเทศอีกด้วย เพราะฉะนั้นทั้งรัฐ เกษตรกร พ่อค้า ต้องเข้าใจตรงนี้ แล้วก็ช่วยกันแก้ปัญหาให้ได้ อย่ามัวแต่โทษกันไปโทษกันมา รัฐบาลก็พยายามเสนอแนะ หาวิธีการ แต่ทุกอย่างไม่ได้ว่าจะแก้ได้ พืชเกษตร แก้อย่างเดียว แก้ทีเดียว แก้ครั้งเดียวแล้วก็จะแก้ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ สถานการณ์เปลี่ยนไปตลอดเวลา ขึ้นอยู่ว่ามากหรือน้อยเท่านั้นเอง

สุดท้ายนี้ ก็มีเรื่องร้องเรียนผ่านช่องทางสื่อสารออนไลน์ใหม่ของผมเป็นจำนวนมาก เกี่ยวกับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ซึ่งผมก็ได้มอบหมายให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปดำเนินการสอบสวน ติดตาม หาข้อบกพร่องในระบบเป็นการเร่งด่วนแล้ว ว่าทำไมประชาชนผู้มีสิทธิ์ แต่ไม่ได้รับตามสิทธิ์ ติดขัดอย่างไร หากปรากฏตรวจพบว่ามีการทุจริตในระบบ ก็จะต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด ขอให้บริการอย่างรวดเร็วด้วย ส่วนผู้ที่มีความเดือดร้อน หรือพบเห็นการกระทำผิด แล้วส่งข้อมูลมาหาผมเป็นการส่วนตัวนั้น ข้อมูลของท่านเหล่านี้จะถูกเก็บเป็นความลับ ผมจะส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการแก้ปัญหาเหล่านั้นให้ได้โดยเร็ว ซึ่งได้รับรายงานว่าบางเรื่องก็ได้ดำเนินการแก้ไขสิ้นสุดไปแล้ว ผู้ร้อง ผู้ที่เดือดร้อนก็ได้รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการเป็นระยะๆ ไปแล้ว อันนี้รวมความไปถึงที่แจ้งไปยังศูนย์ดำรงธรรมด้วย มีเป็นล้านๆ เรื่อง

ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุข ขอให้ทุกคน ทุกครอบครัว ชาวไทย คนไทย ได้เป็นเจ้าบ้านที่ดี ขอให้ชาวอาเซียนมาร่วมมือกันกับพวกเราในการร่วมมือร่วมใจก้าวไกล ยั่งยืน สวัสดีครับ ขอบคุณครับ แล้วพบกันใหม่