xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [26 ตุลาคม 2561]

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จย่าที่ทรงให้ความสำคัญและทรงสนพระทัย เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่า และการฟื้นฟูความสมดุลทางธรรมชาติ โดยพระองค์ทรงปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้ ด้วยพระองค์เอง มาตลอดพระชนม์ชีพ ผมขอยกตัวอย่างโครงการพัฒนาดอยตุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย ที่พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงต้นเหตุแห่งปัญหา ของประชาชนจาก 6 ชนเผ่า ในพื้นที่ 29 หมู่บ้าน กว่า 11,000 คน ที่ต้องประกอบอาชีพผิดกฎหมายเช่น การทำไร่เลื่อนลอย การปลูกฝิ่น และการตกเขียว เพื่อค้าประเวณีเนื่องจากความยากจน ความไม่รู้และการขาดโอกาสในชีวิต ทั้งนี้ ด้วยพระวิสัยทัศน์และพระราชปณิธานอันแรงกล้าของพระองค์ ที่ทรงปรารถนาให้ชาวดอยตุง สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน จึงทรงริเริ่มดำเนินโครงการในรูปแบบปลูกป่า ปลูกคน กล่าวคือการแก้ปัญหาความยากจนที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง และยึดหลักความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ที่สมดุลกับความมั่นคงทางสังคม และความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ การปลูกป่าที่ดอยตุง จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการคืนความสมบูรณ์ จากสภาพป่าเขาที่เสื่อมโทรม พื้นดินที่หมดสภาพ และลำธารที่แห้งเหือด ให้พลิกฟื้นกลับเป็นป่าต้นน้ำอันอุดมสมบูรณ์ ป่าเศรษฐกิจ และป่าใช้สอย ในสัดส่วนที่พอเหมาะ สำหรับการหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนบนดอยตุง ควบคู่กับการปลูกป่าก็คือ การปลูกคนให้พึ่งพาตนเองได้ และพัฒนาชุมชนต่อไปมีการสร้างงานและอาชีพหลากหลาย สำหรับคนที่มีความถนัดต่างกัน เช่น การปลูกการแปรรูปกาแฟและแมคคาเดเมีย การผลิตงานหัตถกรรม การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเกษตรภูมิทัศน์ งานบริการและการท่องเที่ยว เป็นต้น

สำหรับเยาวชนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้นำในอนาคตนั้น ก็มีโครงการพัฒนาการศึกษา ในโรงเรียน 8 แห่ง เพื่อสร้างพลเมืองที่ดี มีภูมิคุ้มกันสามารถพัฒนาตนเองและสังคม ได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ เมื่อปี 2546สำนักงานควบคุมยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ได้ยกย่องหลักการพัฒนาของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการลดปริมาณการปลูกพืชเสพติด และแก้ปัญหาความยากจน ได้อย่างยั่งยืน เพื่อถวายเป็นราชสักการะ แสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณ และ สนองพระราช ณิธานของแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นพระสมัญญานาม ที่ชาวไทยภูเขา พร้อมใจกันเรียกขาน สมเด็จย่าและ เพื่อเป็นการน้อมนำศาสตร์พระราชา ซึ่งเป็นพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนหนึ่ง ที่ว่าควรจะปลูกต้นไม้ในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และ รักษาต้นไม้ด้วยตนเองมาสู่การปฏิบัติ ดังนั้นจึงได้นำคณะรัฐมนตรี ร่วมกันปลูกไม้พะยูง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการส่งเสริม และสร้างจิตสำนึกให้กับชาวไทยทุกคน เกิดความหวงแหน และร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ให้คงอยู่เป็นมรดกของลูกหลานต่อไป

พี่น้องประชาชนที่รัก หลักปรัชญาปลูกป่า ปลูกคนของสมเด็จย่า จากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ผมได้กล่าวมานั้น หากเราศึกษาอย่างลึกซึ้ง แล้วจะเห็นความเชื่อมโยงกันของแนวทางแก้ปมปัญหาพื้นฐาน ด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อมของชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเราทุกคน ที่เป็นทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ใน 3 เรื่อง ได้แก่ การแก้ปัญหาเกี่ยวกับ น้ำ ยาเสพติด และความยากจน รัฐบาลนี้ ได้มีความตระหนักในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น และมุ่งมั่นที่จะน้อมนำหลักคิดดังกล่าวมาสืบสาน รักษา ต่อยอด โดยกำหนดเป็นมาตรการ และนโยบายสาธารณะ สำหรับการแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ในภาพรวม ดังนี้ 1.การแก้ปัญหาน้ำ โดยดำเนินการ 3 เสาหลัก ได้แก่

1.การตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นองค์กรกลาง เพื่อให้เกิดเอกภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบในภาพรวม ตั้งแต่ป่าต้นน้ำ แหล่งเก็บกักน้ำ พื้นที่เพาะปลูก ไปจนถึงปากอ่าว

2.การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์น้ำ 12 ปี ถือเป็น แผนแม่บทด้านทรัพยากรน้ำ ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งที่ผ่านมามีผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินงานที่สำคัญๆ ได้แก่ พัฒนาประปาหมู่บ้านเกือบ 7,300 หมู่บ้าน คงเหลือ 199 หมู่บ้าน คาดว่าจะแล้วเสร็จ ในปี 62 พัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำได้ ราว 1,500 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มพื้นที่ชลประทาน รวม 2.53 ล้านไร่ และฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมทั่วประเทศ รวม 0.48 ล้านไร่ เป็นต้น

3.การผ่านกฎหมายแม่บทด้านน้ำ หรือ กฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศไทยก็คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ปลายปีนี้ ที่จะช่วยให้เกิดการบูรณาการในการใช้ ในการพัฒนา บริหารจัดการ ฟื้นฟู และอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ มีมาตรการป้องกันและแก้ไขน้ำท่วม น้ำแล้ง วางหลักเกณฑ์ในการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำสาธารณะ อีกทั้งมีองค์กรในการบริหารจัดการน้ำ ระดับชาติ ระดับลุ่มน้ำ และระดับองค์กรผู้ใช้น้ำ ที่สะท้อนการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ เพื่อจะร่วมกันบริหารจัดการน้ำของชาติ เป็นต้น

2. การแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยใช้นโยบายผู้เสพคือผู้ป่วย ที่จะต้องได้รับการบำบัดรักษาอย่างถูกต้อง โดยแพทย์และพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐทุกแห่งทั่วประเทศ และหลังจากผู้เสพได้รับการบำบัดรักษาแล้ว สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้ปกติสุข โดยรัฐบาลจะติดตาม ช่วยเหลือ และส่งเสริมการประกอบอาชีพ ให้ผู้เสพได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผู้เสพที่สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษา จะสามารถสมัครงานได้โดยไม่เสียประวัติ ไม่โดนลงบันทึกอาชญากรรม สำหรับขั้นตอนการคืนคนดีสู่สังคมอย่างมีประสิทธิภาพนั้น รัฐบาลได้จัดต้ังศูนย์ประสานงาน และส่งเสริมการมีงานทำ หรือศูนย์แคร์ประจำเรือนจำ ทัณฑสถาน และสำนักงานยุติธรรมจังหวัดขึ้นรวม 137 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นเสมือนศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ สำหรับการติดต่อประสานงานระหว่างผู้ต้องขัง ผู้พ้นโทษ เครือข่ายภาคสังคม บริษัทห้างร้าน ผู้ประกอบการเกี่ยวกับข้อมูลด้านการประกอบอาชีพ การให้ความสงเคราะห์ช่วยเหลือ และความต้องการรับจ้างแรงงาน เป็นต้น รวมทั้งสนับสนุนให้หน่วยงานภายนอก ได้เข้ามามีบทบาท มีส่วนร่วม ในการช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ให้มีงาน มีอาชีพสุจริต ส่งเสริมให้ผู้กระทำผิดมีรายได้ในขณะที่ต้องโทษ และอยู่ในระหว่างที่ออกมาใช้ชีวิตในสังคมภายนอก สร้างขวัญกำลังใจ และความมั่นใจให้กับผู้ต้องขัง และผู้พ้นโทษ ได้มีโอกาสที่จะกลับตัวเป็นพลเมืองดีของสังคม ไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะล้มละลายทางสังคม

ทั้งนี้ สถิติผู้มาลงทะเบียนมาใช้บริการศูนย์บริการแคร์ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมา มีเกือบ 27,000 คน โดยขอข้อมูลแหล่งงาน 3 พันกว่าคน ได้รับการจ้างงานแล้วเกือบ 400 คน ได้รับคำปรึกษากว่า 14,000 คน และได้รับการสงเคราะห์ด้านต่างๆ อีกกว่า 14,500 คน และ

3. การแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืนด้วยการออม ได้แก่

(1) การออมผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งคนไทยอายุระหว่าง 15-60 ปี ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นิสิตนักศึกษา เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา อาชีพอิสระ ได้รู้จัการเก็บหอมรอมริบ ไม่ปล่อยให้ชีวิตอยู่กับความเสี่ยง หรือครอบครัวล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาลยามแก่ชรา รวมถึงเข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐ มีเงินรายเดือนไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี เพิ่มเติมจากเบี้ยคนชราที่จะได้รับอยู่แล้ว กล่าวคือแต่ละเดือนก็จะมีรายรับเข้ามา 2 ทาง เพื่อจับจ่ายใช้สอยที่จำเป็น โดยสามารถออมเงินกับ กอช.ได้ ขั้นต่ำเดือนละ 50 บาท และ ปีละไม่เกิน 13,200 บาท แล้วรัฐบาลก็จะเติมเงินให้อีก 50-100% ตามช่วงอายุตามตารางบนหน้าจอ

ปัจจุบันการสมัครสมาชิก กอช.สามารถทำได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน กอช. และสมาร์ทโฟนทุกระบบ ใช้ข้อมูลพื้นฐานเพียงหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน รหัสหลังบัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด และหมายเลขโทรศัพท์เท่านั้น

สำหรับผู้ที่ถือบัตรวัสดิการแห่งรัฐ รัฐบาลสนับสนุนให้ใช้จ่ายผ่านบัตร โดยรัฐบาลจะคืนเป็นเงินออมให้ 1% ทั้งนี้ ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถตรวจสอบสิทธิ์ และสมัครได้ที่ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง หรือ สมัครผ่านแอปพลิเคชัน กอช.ได้เช่นกัน

(2) การออมรูปแบบใหม่ คือ การปลูกไม้มีค่าในที่ดินของตน นอกจากจะเป็นการเก็บออมแล้ว ยังถือเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน และสร้างอาชีพที่มั่นคงด้วยการปลูกไม้มีค่า ในลักษณะเกษตรผสมผสาน พร้อมกับเพิ่มพื้นที่ป่า และเป็นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วย จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหาต่างๆ อย่างยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยการดำเนินการอย่างยุทธศาสตร์ และต้องอาศัยเวลา อย่างเช่นโครงการพัฒนาดอยตุงใช้เวลาศึกษา 30 ปี ในการศึกษาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเราไม่ลดละความพยายาม เราจะประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นเป็นประจำในสายตาทั้งชาวไทย และชาวโลกว่า การปลูกป่า ปลูกคนเป็นกุศโลบายที่ช่วยแก้ปัญหาทั้งเรื่องน้ำ ความยากจน และยาเสพติดไปพร้อมๆ กันได้

ทั้งนี้ การบริหารจัดการอย่างมีระบบระเบียบเหมือนกับการปลูกต้นไม้ ที่ต้องมีหลักวิชาการ ต้องดูแลรักษา และใช้เวลาในการผลิดอกออกผล เพียงแต่เราต้องรู้ว่ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร ซึ่งก็คือสร้างวันนี้เพื่ออนาคตนั่นเอง

พี่น้องประชาชนครับ ผมมีเรื่องน่ายินดีสำหรับคนไทยทุกคนอีกครั้ง เกี่ยวกับผลการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก 4.0 ประจำปี 2018 ของ World Economic Forum ในปีนี้ ประเทศไทยมีอันดับและคะแนนดีขึ้น ถือว่าได้ก้าวเข้าสู่ความเป็น 4.0 มากขึ้น โดยปรับมาอยู่ระดับที่ 38 จาก 140 ประเทศทั่วโลก จากเดิมอยู่ในระดับที่ 40 เมื่อปีที่แล้ว

สำหรับในอาเซียนนั้น ไทยอยู่อันดับ 3 รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย ส่วนในกลุ่มอาเซียน+3 ไทยอยู่อันดับที่ 6 จาก 12 ประเทศ รองจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และจีน ซึ่งเป็นอันดับคงที่มาหลายปี แสดงถึงสถานะทางการแข่งขันที่มั่นคงของไทยในเวทีนี้ได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ไทยถือเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ไมได้มีรายได้ต่อประชากรในระดับที่สูง แต่ยังสามารถเข้าไปอยู่ใน 40 อันดับแรกของโลกได้ ในขณะที่อีก 2 ประเทศ มาเลเซีย อันดับที่ 25 และจีน อันดับที่ 28

คะแนนเหล่านี้เป็นผลมาจากการเก็บข้อมูลเชิงลึกจากการสอบถามผู้บริหารระดับสูงขององค์กรขนาดใหญ่ และขนาดย่อมในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยเทียบกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ มีเกณฑ์การประเมิน 12 ด้าน 98 ตัวชี้วัด ซึ่งประเทศไทยมีจุดแข็งด้านระบบการเงิน อยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก เพราะมีความพร้อมด้านเงินทุน วงเงินสินเชื่อ เทียบกับเอกชน ผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs และสตาร์ทอัป รวมถึงเสถียรภาพของธนาคารพาณิชย์

นอกจากนี้ ยังมีจุดแข็งด้านขนาดของตลาดที่อยู่ในอันดับ 18 ของโลก มาจากการที่บริษัทต่างๆเข้าถึงตลาดภายในประเทศ การลงทุน และการส่งออก หรือตลาดต่างประเทศได้สะดวก

อย่างไรก็ตาม เราก็ยังมีจุดที่ต้องพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อจะก้าวให้เป็นความ 4.0 ได้มากขึ้น เช่น การแข่งขันภายในประเทศ ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 92 ของโลก

เรื่องของการแข่งขันภายในประเทศนั้น เราต้องเปิดโอกาสให้บริษัทต่างๆ ได้มีการแข่งขันกันอย่างเท่าเทียม กฎระเบียบไม่ซับซ้อน ซึ่งจะนำไปสู่นวัตกรรมได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีด้านการศึกษาและทักษะที่อยู๋ในอันดับที่ 66 ของโลก เรายังคงต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศของเรามีความพร้อม รู้เท่ากันโลกมากขึ้นอีกด้วย

การสำรวจความสามารถการแข่งขันของประเทศต่างๆ ผ่านดัชนีความสามารถในการแข่งขันระดับโลก 4.0 นี้ เปรียบได้กับไม้บรรทัดที่ประเทศต่างๆทั่วโลกจับตาดู เพราะนอกจากจะเป็นการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศแล้ว ยังสามารถชี้ให้เห็นถึงจุดเด่น และประเด็นที่ต้องพิจารณาปรับปรุง รวมถึงศักยภาพในการที่จะให้ประเทศต่างๆได้เข้ามาลงทุน เพื่อเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

ซึ่งจากการที่ผมได้ไปเข้าร่วมการประชุม ณ ต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา ผมก็สัมผัสได้ ว่าผู้นำหลายประเทศมีความมั่นใจและสนับสนุนแนวทางการพัฒนาของไทย โดยเฉพาะการน้อมนำหลักประชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ เพื่อจะสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงเป้าหมายสำคัญในการปฏิรูป เพื่อพลิกโฉมเมืองไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และประชาชนอยู่ดีกินดีภายใน 20 ปีข้างหน้าด้วยการมุ่งมั่นเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในทุกมิติ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติอีกด้วย

นอกจากนี้ มีการประเมินผลหนึ่งที่กำลังอยู่ในความสนใจก็คือการพัฒนาทุนมนุษย์ ที่ธนาคารโลกได้พยายามจัดทำดัชนีชี้วัดภายใต้โครงการทุนมนุษย์ที่เพิ่งริเริ่มขึ้น โดยพิจารณาวัดระดับของการสร้างทุนมนุษย์จากศักยภาพของเด็ก ที่ได้รับตั้งแต่เกิดจนจบมัธยม โดยดูจากอัตราการอยู่รอด โอกาสทางการศึกษาและผลการศึกษา รวมทั้งสุขภาพของเด็กเหล่านั้น ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำการวัดออกมาได้ผลที่เป็นตัวเลขที่ถูกต้องสมบูรณ์

ล่าสุด World Economic Forum ได้เสนอว่า สถาบันด้าน Health Metrics and Evaluation ที่สหรัฐอเมริกา ได้จัดทำวิธีคำนวณอย่างเป็นระบบขึ้น จากการวิเคราะห์ผลสำรวจ กว่า 2,500 ชุด และการลงพื้นที่สอบถาม ในเรื่องความเป็นอยู่ โอกาสทางการศึกษา และการเรียนรู้ รวมถึง สุขภาพ แล้วนำมาประมวลผล ให้ได้ค่าที่สะท้อนระดับทุนมนุษย์ วิธีนี้ได้ถูกนำมาใช้วัดระดับทุนมนุษย์ของ 195 ประเทศทั่วโลก

นับตั้งแต่ปี 2533 และปี 2559 พบว่าประเทศที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ในยุโรป เช่น ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ และเดนมาร์ก

แต่ส่วนที่น่าสนใจมากกว่า ก็คือ ประเทศที่พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เป็นทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพมากขึ้น สะท้อนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉลี่ย ซึ่งมีทั้งหมด 4 ประเทศ ก็คือ ตุรกี จีน บราซิล และไทย ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่น และการให้ความสำคัญอย่างมาก กับการพัฒนา คนของประเทศ ในช่วงที่ผ่านมา

อีกทั้งธนาคารโลก และ World Economic Forum เห็นตรงกันว่า ในการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศนั้น เรื่องของคุณภาพคน หรือทุนมนุษย์ มีความสำคัญมากกว่าทุนด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรหรือเงินทุน เพราะมนุษย์คือปัจจัยการผลิตที่สำคัญ และสามารถจะพัฒนาเรียนรู้ได้ไม่สิ้นสุด ด้วยต้นทุนที่ไม่ต้องสูงมาก เมื่อเทียบกับการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรในการผลิตแต่ละครั้ง ซึ่งนักวิจัยจากสถาบันด้าน Health Matric and Evaluation และธนาคารโลก ในการประชุมผู้นำอาเซียนครั้งล่าสุด ก็ได้ชื่นชมว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศรายได้ปานกลางแรกๆ ที่มีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และการให้บริการอย่างทั่วถึงของหน่วยบริการปฐมภูมิ เช่น คลินิกหมอครอบครัว ซึ่งก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ได้พัฒนาต่อมา ทั้งหมดนี้เป็นรากฐานที่ดีให้กับการพัฒนาทุนมนุษย์ของไทย และการศึกษานี้ยังชี้ด้วยว่าระดับของทุนมนุษย์จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศในระยะต่อไป ที่ผ่านมาเราก็ได้มีการต่อยอดบริการสาธารณสุขของประเทศอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาและเตรียมพร้อมในเรื่องทุนมนุษย์ของประเทศควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะให้เยาวชนมีทักษะและความสนใจ ในการคิดค้นพัฒนานวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการขยายโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม ไปสู่โรงเรียนมากกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ เพื่อฝึกฝนและพัฒนาความเป็นนวัตกรแก่เยาวชนไทย และ พัฒนาทักษะ STEM ในเด็กวัยเรียนผ่านการเรียนรู้แบบ "เพลิน" (P-Learn) หรือ Play and Learn ด้วย เพราะการศึกษาที่จะทำให้คนไทยอยู่รอดในศตวรรษที่ 21 นั้น ไม่ได้มีอยู่ในห้องเรียนหรือในบทเรียนเท่านั้น เราต้องกระตุ้นให้เกิดการค้นคว้าและค้นพบด้วยตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้สามารถต่อยอดความคิดต่างๆ ได้มากขึ้น

นอกจากเรื่องความรู้ความสามารถที่จะเป็นพื้นฐานของการเตรียมทุนมนุษย์แล้ว ยังคงต้องมีเรื่องคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้เป็นทุนมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในช่วงนี้มีกิจกรรมที่ผมอยากจะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ก็คือการแสดงโขนที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดแสดงขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนๆ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทยให้อยู่สืบไป โดยมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้จัดการแสดงโขนรามเกียรติ์มาแล้วทั้งหมด 7 ตอน ตั้งแต่ปี 2550 และในปีนี้ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้เลือกบทโขนรามเกียรติ์ ตอน "พิเภกสวามิภักดิ์" ซึ่งเป็นการสื่อความหมายของความจงรักภักดี และการรักษาความเที่ยงธรรม สุจริต อีกทั้งยังมีการผสมผสาน สร้างสรรค์มาจากบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ฉบับต่างๆ อาทิ บทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 6 โดยผู้เกี่ยวข้องทุกท่านได้ตั้งใจทำทุกอย่างด้วยความประณีต วิจิตรตระการตาเป็นอย่างยิ่ง โดยการแสดงโขนนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 5 ธันวาคม ศกนี้ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ผมจึงขอเชิญชวนให้คนรักโขน รักศิลปวัฒนธรรมไทย รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยไปชมการแสดงโขนที่จัดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบนี้ ซึ่งจะมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น

ก่อนจบวันนี้ ต้องขอแจ้งเตือนประชาชนในเรื่องลมฟ้าอากาศด้วย ภาคใต้จะมีฝนตกชุก อาจมีน้ำท่วมขังในบางพื้นที่หรือตามพื้นถนน ภาคเหนือ อากาศจะเริ่มเย็นลง ภาคอื่นๆ อาจประสบภัยแล้งในการทำการเกษตร อ่างเก็บน้ำมีปัญหาหลายแห่งด้วยกัน เนื่องจากฝนตกน้อย ตกซ้ำในบางพื้นที่ ไม่ตกในพื้นที่อ่าง ทะเลอาจจะมีคลื่นลมแรง การไปพักผ่อนเที่ยวเตร่ ประกอบอาชีพประมงและอื่นๆ ให้ความสนใจติดตามพยากรณ์อากาศด้วย

ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง และทุกครอบครัวมีความสุข ปลอดภัย สวัสดีครับ