ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแจ้งว่า ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม - 1 สิงหาคมนี้ คาดว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับร้อยละ 1.75-2 โดยปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะมีนัยสำคัญต่อเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้คงหนีไม่พ้นประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งอาจจะกลายเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงได้
อย่างไรก็ดี ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง ยังคงเปิดโอกาสให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 1-2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้ มองไปข้างหน้า เฟดอาจจะเผชิญกับปัจจัยท้าทายมากขึ้นในการดำเนินนโยบายการเงิน โดยเฉพาะในปี 2562 ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดน่าจะปรับขึ้นเข้าใกล้กับระดับดุลยภาพ โดยเฉพาะกรณีที่คาดการณ์เงินเฟ้อในระยะข้างหน้าของตลาดที่ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ อาจจะส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเป็นแบบลาดลง
ขณะที่เฟดอาจจะต้องปรับเปลี่ยนการส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเข้าใกล้กับระดับดุลยภาพ โดยเฟดจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างปัจจัยความต่อเนื่องของการขยายตัวของเศรษฐกิจกับปัจจัยด้านความเสี่ยงเชิงเสถียรภาพระยะยาว
สำหรับผลต่อประเทศไทย ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดที่ยังคงอยู่ในช่วงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจจะส่งผลให้ตลาดการเงินไทยยังคงเผชิญกับการไหลออกของเงินทุน และกดดันให้ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวอ่อนค่า ขณะที่การเคลื่อนไหวของค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทย คงจะเผชิญกับความผันผวนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงการประชุมเฟดในรอบเดือนกันยายนนี้ ซึ่งเฟดอาจจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าท้ายที่สุดแล้วต้นทุนทางการเงินคงมีทิศทางที่จะทยอยปรับขึ้นตามทิศทางตลาดการเงินโลก ดังนั้น ผู้ประกอบการและภาคประชาชนควรมีการเตรียมความพร้อมในเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อลดทอนผลกระทบจากการปรับขึ้นของต้นทุนทางการเงินให้มีน้อยที่สุด