วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 814 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.00 น. ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน คดีชุมนุม กปปส.ร่วมกันเป็นกบฏ รวม 3 สำนวน ประกอบด้วย คดีหมายเลขดำ อ.247/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 ยื่นฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) และอดีตเลขาธิการ กปปส. กับแกนนำ กปปส. เวทีจุดต่างๆ รวม 9 คน คดีหมายเลขดำ อ.832/2561 ที่ยื่นฟ้องนางอัญชะลี ไพรีรัก อดีตพิธีกรเวทีชุมนุม กปปส. นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อดีตพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม อดีตแกนนำ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ กับแนวร่วม กปปส. รวม 14 คน และคดีหมายเลขดำ อ.1185/2561 ที่ยื่นฟ้อง ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม และนายมั่นแม่น กะการดี แนวร่วมกองทัพธรรม โดยทั้ง 3 สำนวนทยอยยื่นฟ้องเมื่อต้นปี 2561ในความผิดฐานร่วมกันกบฏ สนับสนุนกบฏ ร่วมกันก่อการร้าย (ฟ้องเฉพาะนายสุเทพ กับนายชุมพล จุลใส แกนนำ กปปส.เวทีแยกราชประสงค์) ขัดขวางการเลือกตั้งฯ และข้อหาอื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 116, 117, 135/1, 209 , 210, 215, 216, 362, 364, 365, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 มาตรา 76, 152 ประกอบมาตรา 83, 86, 91 รวม 8-9 ข้อหา จากการร่วมชุมนุมกันของ กปปส. ที่มีนายสุเทพ เป็นผู้นำการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 – 1 พฤษภาคม 2557 ซึ่งมีการพาผู้ชุมนุมบุกรุกปิดสถานที่ราชการหลายแห่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ท้ายคำฟ้องอัยการโจทก์ยังได้ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของจำเลยด้วย มีกำหนด 5 ปี ซึ่งจำเลยทั้งหมดได้รับการประกันตัวคนละ 600,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขด้วยว่า ห้ามจำเลยทั้งหมดออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
วันนี้ นายสุเทพ พร้อมแกนนำและแนวร่วม กปปส. ซึ่งได้รับการประกันตัว เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ ส่วนนายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ ซึ่งอยู่ระหว่างฝากขังคดีที่ตกเป็นผู้ต้องหาปลอมพระปรมาภิไธยจัดสร้างพระ และคดีทำร้ายเจ้าหน้าที่สายสืบการชุมนุม ถูกเบิกตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาศาล
ขณะที่ศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องโดยสรุปให้จำเลยทั้งหมดฟังว่า จำเลยกับพวกได้ปราศรัยชักชวนกันขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่ความมุ่งหมายตามรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้ จัดหาชายฉกรรจ์เป็นกองกำลังไล่ล่าจับตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐมนตรี ชักชวนหน่วยงานราชการและเอกชนหยุดงาน ไม่จ่ายภาษี มีการชุมนุมปิดถนน ปิดกรุงเทพฯ ตัดน้ำตัดไฟหน่วยงานราชการ บุกรุกสถานที่ราชการ มุ่งหมายให้รัฐบาลหยุดปฏิบัติหน้าที่ มีกองกำลังใช้อาวุธ ก่อการร้ายโดยเข้าควบคุมระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่ทีโอที เมื่อมีการประกาศการเลือกตั้ง พวกจำเลยได้ดำเนินการไม่ให้มีการสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเข้าใช้สิทธิโดยปิดกั้นหน่วยเลือกตั้ง ปราศรัยว่า กปปส.จะใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์แต่งตั้งนายกฯ และคณะรัฐมนตรีขึ้นเอง เป็นการเปลี่ยนแปลงล้มล้างรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่อง
ซึ่งศาลสอบคำให้การแล้ว จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
นายสุเทพ จำเลยที่ 1 แถลงต่อศาลประกอบการปฏิเสธด้วยว่า การชุมนุมเป็นการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ รัฐบาลในขณะนั้นเป็นปฏิปักษ์กับรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจฉ้อฉลปล้นประเทศ พวกตนจึงใช้สิทธิพลเมืองในการต่อต้านรัฐบาลที่เป็นทรราช หากปล่อยไว้จะเกิดความเสียหายไม่สิ้นสุด และขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
ขณะที่จำเลยอื่นๆ เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ นายสาธิต เซกัล นายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ ร.ต.แซมดิน และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี ได้ขึ้นแถลงต่อศาลทำนองสนับสนุนคำแถลงของนายสุเทพ โดยยืนยันว่า การที่จำเลยชุมนุมเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญฯ เป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ได้รับความคุ้มครอง ไม่ได้ขวางการเลือกตั้ง ขอให้ศาลอาญาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นการชุมนุมด้วย จำเลยยังกล่าวในทำนองตั้งคำถามต่อการนิยามข้อหากบฏของอัยการด้วยว่าต้องมีพฤติการณ์อย่างไร ซึ่งต้องการให้อัยการอธิบายพฤติการณ์ของจำเลยรายคนให้ชัด ไม่ควรฟ้องเหมารวม
นอกจากนี้ นายสุเทพ จำเลยที่ 1 ยังได้ถามกลับอัยการเพื่อให้ยืนยันต่อศาลด้วยว่า ผู้ต้องหาคดีกบฏ กปปส.ที่เหลืออีก 28 คน จะสามารถฟ้องได้หมดเมื่อใด โดยพนักงานอัยการได้ชี้แจงว่า จากที่คุยกับทนายความจำเลย มีบางรายยังอยู่ระหว่างการพิจารณาขอเงินประกันตัวจากกองทุนยุติธรรมที่รออนุมัติอยู่ และผู้บังคับบัญชาอนุญาตให้เลื่อน จึงยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะฟ้องได้หมดเมื่อใด
อย่างไรก็ตาม เมื่อจะต้องตรวจพยานหลักฐาน อัยการโจทก์ได้ขอเลื่อนนัดตรวจหลักฐานออกไปก่อน เนื่องจากคณะทำงานเพิ่งเข้ารับหน้าที่ใหม่ และรอการขอรวมพิจารณาคดีทั้งหมดเป็นสำนวนเดียวกัน ซึ่งจำเลยยื่นคัดค้าน ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่า เคยอนุญาตให้มีการเลื่อนนัดตรวจหลักฐานแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องคดีความมั่นคง ไม่ใช่การตรวจพยานเอกสารอย่างเดียว ต้องสืบพยานบุคคลด้วย จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีอีก โดยให้ 2 ฝ่ายร่วมตรวจพยานหลักฐานวันนี้ ส่วนที่อัยการโจทก์ขอรวมสำนวนคดีทั้งสามเข้าเป็นคดีเดียวกัน เพราะใช้พยานหลักฐานชุดเดียวกัน แต่จำเลยยื่นคัดค้านด้วยเหตุผล เช่น ขอแยกพิจารณาสำนวน 9 คนแรกก่อนเพื่อพิสูจน์ว่ากระทำผิดหรือไม่ เป็นต้นนั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีใช้พยานหลักฐานชุดเดียวกัน จึงให้รวมสำนวนพิจารณาในคราวเดียวกัน
ต่อมา อัยการโจทก์จึงแถลง จะนำสืบพยานบุคคลสืบรวม 891 ปาก ส่วนจำเลยขอนำพยานบุคคลเข้าสืบมากกว่า 300 ปาก แต่ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้อัยการโจทก์นำพยานเข้าสืบจำนวน 80 ปาก ใช้เวลา 30 นัด และพยานจำเลยจำนวน 100 ปาก ใช้เวลา 30 นัด คู่ความตกลงแล้ว ให้กำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 เวลา 09.00 น.
วันนี้ นายสุเทพ พร้อมแกนนำและแนวร่วม กปปส. ซึ่งได้รับการประกันตัว เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ ส่วนนายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ ซึ่งอยู่ระหว่างฝากขังคดีที่ตกเป็นผู้ต้องหาปลอมพระปรมาภิไธยจัดสร้างพระ และคดีทำร้ายเจ้าหน้าที่สายสืบการชุมนุม ถูกเบิกตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาศาล
ขณะที่ศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องโดยสรุปให้จำเลยทั้งหมดฟังว่า จำเลยกับพวกได้ปราศรัยชักชวนกันขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่ความมุ่งหมายตามรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้ จัดหาชายฉกรรจ์เป็นกองกำลังไล่ล่าจับตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐมนตรี ชักชวนหน่วยงานราชการและเอกชนหยุดงาน ไม่จ่ายภาษี มีการชุมนุมปิดถนน ปิดกรุงเทพฯ ตัดน้ำตัดไฟหน่วยงานราชการ บุกรุกสถานที่ราชการ มุ่งหมายให้รัฐบาลหยุดปฏิบัติหน้าที่ มีกองกำลังใช้อาวุธ ก่อการร้ายโดยเข้าควบคุมระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่ทีโอที เมื่อมีการประกาศการเลือกตั้ง พวกจำเลยได้ดำเนินการไม่ให้มีการสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเข้าใช้สิทธิโดยปิดกั้นหน่วยเลือกตั้ง ปราศรัยว่า กปปส.จะใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์แต่งตั้งนายกฯ และคณะรัฐมนตรีขึ้นเอง เป็นการเปลี่ยนแปลงล้มล้างรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่อง
ซึ่งศาลสอบคำให้การแล้ว จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
นายสุเทพ จำเลยที่ 1 แถลงต่อศาลประกอบการปฏิเสธด้วยว่า การชุมนุมเป็นการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ รัฐบาลในขณะนั้นเป็นปฏิปักษ์กับรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจฉ้อฉลปล้นประเทศ พวกตนจึงใช้สิทธิพลเมืองในการต่อต้านรัฐบาลที่เป็นทรราช หากปล่อยไว้จะเกิดความเสียหายไม่สิ้นสุด และขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
ขณะที่จำเลยอื่นๆ เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ นายสาธิต เซกัล นายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ ร.ต.แซมดิน และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี ได้ขึ้นแถลงต่อศาลทำนองสนับสนุนคำแถลงของนายสุเทพ โดยยืนยันว่า การที่จำเลยชุมนุมเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญฯ เป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ได้รับความคุ้มครอง ไม่ได้ขวางการเลือกตั้ง ขอให้ศาลอาญาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นการชุมนุมด้วย จำเลยยังกล่าวในทำนองตั้งคำถามต่อการนิยามข้อหากบฏของอัยการด้วยว่าต้องมีพฤติการณ์อย่างไร ซึ่งต้องการให้อัยการอธิบายพฤติการณ์ของจำเลยรายคนให้ชัด ไม่ควรฟ้องเหมารวม
นอกจากนี้ นายสุเทพ จำเลยที่ 1 ยังได้ถามกลับอัยการเพื่อให้ยืนยันต่อศาลด้วยว่า ผู้ต้องหาคดีกบฏ กปปส.ที่เหลืออีก 28 คน จะสามารถฟ้องได้หมดเมื่อใด โดยพนักงานอัยการได้ชี้แจงว่า จากที่คุยกับทนายความจำเลย มีบางรายยังอยู่ระหว่างการพิจารณาขอเงินประกันตัวจากกองทุนยุติธรรมที่รออนุมัติอยู่ และผู้บังคับบัญชาอนุญาตให้เลื่อน จึงยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะฟ้องได้หมดเมื่อใด
อย่างไรก็ตาม เมื่อจะต้องตรวจพยานหลักฐาน อัยการโจทก์ได้ขอเลื่อนนัดตรวจหลักฐานออกไปก่อน เนื่องจากคณะทำงานเพิ่งเข้ารับหน้าที่ใหม่ และรอการขอรวมพิจารณาคดีทั้งหมดเป็นสำนวนเดียวกัน ซึ่งจำเลยยื่นคัดค้าน ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่า เคยอนุญาตให้มีการเลื่อนนัดตรวจหลักฐานแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องคดีความมั่นคง ไม่ใช่การตรวจพยานเอกสารอย่างเดียว ต้องสืบพยานบุคคลด้วย จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีอีก โดยให้ 2 ฝ่ายร่วมตรวจพยานหลักฐานวันนี้ ส่วนที่อัยการโจทก์ขอรวมสำนวนคดีทั้งสามเข้าเป็นคดีเดียวกัน เพราะใช้พยานหลักฐานชุดเดียวกัน แต่จำเลยยื่นคัดค้านด้วยเหตุผล เช่น ขอแยกพิจารณาสำนวน 9 คนแรกก่อนเพื่อพิสูจน์ว่ากระทำผิดหรือไม่ เป็นต้นนั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีใช้พยานหลักฐานชุดเดียวกัน จึงให้รวมสำนวนพิจารณาในคราวเดียวกัน
ต่อมา อัยการโจทก์จึงแถลง จะนำสืบพยานบุคคลสืบรวม 891 ปาก ส่วนจำเลยขอนำพยานบุคคลเข้าสืบมากกว่า 300 ปาก แต่ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้อัยการโจทก์นำพยานเข้าสืบจำนวน 80 ปาก ใช้เวลา 30 นัด และพยานจำเลยจำนวน 100 ปาก ใช้เวลา 30 นัด คู่ความตกลงแล้ว ให้กำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 เวลา 09.00 น.