วันนี้ (23 พ.ค.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2561 เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการที่สุจริตแต่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสังคม จึงไม่อาจชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด
ทั้งนี้ แม้ปัญหาดังกล่าวเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจและขึ้นอยู่กับความพร้อมและความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบกิจการ แต่มีบางส่วนเป็นความรับผิดชอบของภาครัฐที่จะต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึง การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และเสรีภาพของประชาชน นอกจากนี้ หากปล่อยให้เกิดความเสียหายก่นักลงทุนหรือผู้ประกอบกิจการที่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจากรัฐในกิจการที่มีการลงทุนมูลค่าสูง และเป็นห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ก่อให้เกิดการจ้างงานและอาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องตามมาอีกเป็นอันมาก ซึ่งหากประสบภาวะวิกฤต ก็จะส่งผลกระทบไปถึงภาคส่วนอื่นๆ และประชาชนในวงกว้าง รัฐจึงควรมีมาตรการบรรเทาความเสียหายแก่ผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ อันเนื่องมาจากผลกระทบดังกล่าว
ขณะเดียวกัน สมควรให้กรมประชาสัมพันธ์ในฐานะองค์กรสื่อของรัฐ สามารถมีรายได้จากการโฆษณาได้ตามความจำเป็น และเพียงพอต่อการพัฒนาภารกิจด้านกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพให้ทันต่อความต้องการของรัฐและสังคม ตลอดจนทันต่อเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน โดยต้องไม่เป็นการประกอบธุรกิจที่มุ่งแสวงหากำไร
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มีคำสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตที่ต้องชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ตามคําสั่ง ที่ 76/2559 ชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ ในส่วนที่เหลือตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไป สําหรับผู้รับใบอนุญาต ให้ชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตในส่วนที่เหลือตั้งแต่งวดที่ 5 เป็นต้นไป หากผู้รับใบอนุญาตรายใดไม่สามารถชําระค่าธรรมเนียมในงวดที่เหลือ ให้ผู้รับใบอนุญาตรายนั้นแจ้งเป็นหนังสือไปยัง กสทช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ เพื่อขอพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และให้ กสทช. พิจารณาการพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและกําหนดระยะเวลาการพักชําระค่าธรรมเนียม ซึ่งต้องไม่เกิน 3 ปี
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างเวลาพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ให้ผู้รับใบอนุญาตชําระดอกเบี้ยในวันที่ครบกําหนดชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตในแต่ละงวดให้ กสทช. โดยให้ชําระดอกเบี้ยในอัตราเท่ากับอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศกําหนด โดยการพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตไม่เป็นการตัดสิทธิผู้รับใบอนุญาต
นอกจากนี้ ให้ กสทช. หรือคณะกรรมการบริหารกองทุนวิจัย และพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ จัดให้มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเช่าใช้โครงข่ายโทรทัศน์ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล (MUX) ให้กับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล เป็นจํานวนเงินในอัตราร้อยละ 50 ของค่าเช่าใช้โครงข่ายโทรทัศน์ดังกล่าวเป็นระยะเวลา 24 เดือน นับแต่วันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ
ขณะเดียวกัน ให้กรมประชาสัมพันธ์อาจมีเงินรายได้จากการโฆษณาได้เท่าที่จําเป็นและเพียงพอต่อการผลิตรายการ ตามวัตถุประสงค์ โดยต้องไม่เป็นการมุ่งต่อการแสวงหากําไรทางธุรกิจ
อ่านรายละเอียดที่ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/E/117/12.PDF
ทั้งนี้ แม้ปัญหาดังกล่าวเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจและขึ้นอยู่กับความพร้อมและความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบกิจการ แต่มีบางส่วนเป็นความรับผิดชอบของภาครัฐที่จะต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึง การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และเสรีภาพของประชาชน นอกจากนี้ หากปล่อยให้เกิดความเสียหายก่นักลงทุนหรือผู้ประกอบกิจการที่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจากรัฐในกิจการที่มีการลงทุนมูลค่าสูง และเป็นห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ก่อให้เกิดการจ้างงานและอาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องตามมาอีกเป็นอันมาก ซึ่งหากประสบภาวะวิกฤต ก็จะส่งผลกระทบไปถึงภาคส่วนอื่นๆ และประชาชนในวงกว้าง รัฐจึงควรมีมาตรการบรรเทาความเสียหายแก่ผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ อันเนื่องมาจากผลกระทบดังกล่าว
ขณะเดียวกัน สมควรให้กรมประชาสัมพันธ์ในฐานะองค์กรสื่อของรัฐ สามารถมีรายได้จากการโฆษณาได้ตามความจำเป็น และเพียงพอต่อการพัฒนาภารกิจด้านกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพให้ทันต่อความต้องการของรัฐและสังคม ตลอดจนทันต่อเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน โดยต้องไม่เป็นการประกอบธุรกิจที่มุ่งแสวงหากำไร
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มีคำสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตที่ต้องชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ตามคําสั่ง ที่ 76/2559 ชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ ในส่วนที่เหลือตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไป สําหรับผู้รับใบอนุญาต ให้ชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตในส่วนที่เหลือตั้งแต่งวดที่ 5 เป็นต้นไป หากผู้รับใบอนุญาตรายใดไม่สามารถชําระค่าธรรมเนียมในงวดที่เหลือ ให้ผู้รับใบอนุญาตรายนั้นแจ้งเป็นหนังสือไปยัง กสทช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ เพื่อขอพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และให้ กสทช. พิจารณาการพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและกําหนดระยะเวลาการพักชําระค่าธรรมเนียม ซึ่งต้องไม่เกิน 3 ปี
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างเวลาพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ให้ผู้รับใบอนุญาตชําระดอกเบี้ยในวันที่ครบกําหนดชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตในแต่ละงวดให้ กสทช. โดยให้ชําระดอกเบี้ยในอัตราเท่ากับอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศกําหนด โดยการพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตไม่เป็นการตัดสิทธิผู้รับใบอนุญาต
นอกจากนี้ ให้ กสทช. หรือคณะกรรมการบริหารกองทุนวิจัย และพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ จัดให้มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเช่าใช้โครงข่ายโทรทัศน์ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล (MUX) ให้กับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล เป็นจํานวนเงินในอัตราร้อยละ 50 ของค่าเช่าใช้โครงข่ายโทรทัศน์ดังกล่าวเป็นระยะเวลา 24 เดือน นับแต่วันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ
ขณะเดียวกัน ให้กรมประชาสัมพันธ์อาจมีเงินรายได้จากการโฆษณาได้เท่าที่จําเป็นและเพียงพอต่อการผลิตรายการ ตามวัตถุประสงค์ โดยต้องไม่เป็นการมุ่งต่อการแสวงหากําไรทางธุรกิจ
อ่านรายละเอียดที่ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/E/117/12.PDF