นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (General Data Protection Regulation: GDPR) จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการออนไลน์ ในกรณีที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองยุโรปตามเงื่อนไขที่ GDPR กำหนด ดังนั้น ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมาย และพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น กระทรวงดีอีอยู่ระหว่างการเสนอร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจและการออกกฏหมาย กระทรวงดีอีได้ให้เอตด้าตั้งศูนย์ Data Protection Knowledge Center (DPKC) เพื่อสร้างความตระหนักและการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นอย่างทั่วถึง ตลอดถึงช่วยดูแลประชาชนจากการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็วมากขึ้น
สำหรับกฏหมายดังกล่าวมีความละเอียดอ่อน มีหลายประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจและหาจุดร่วมระหว่างภาครัฐและประชาชน ระหว่างประเทศไทยและต่างประเทศ อาทิ การยินยอมให้ข้อมูล ความปลอดภัยสาธารณะ การทำธุรกรรมข้ามแดน ข้อผูกพันจากสัญญาที่มีก่อนหน้า การเก็บข้อมูล วิธีเก็บข้อมูล มาตรฐานการเก็บหลักฐานในระบบ การทำหน้าที่ของผู้เก็บข้อมูล ผู้ควบคุมข้อมูล สิทธิในข้อมูล สิทธิในการลบและเปลี่ยนแปลงข้อมูล ความรับผิดชอบของผู้ประมวลผลข้อมูลและผู้เก็บข้อมูล เป็นสิ่งที่ต้องมีความชัดเจน
ขณะที่กฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรปกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของคนในสหภาพยุโรป ที่ให้เจ้าของข้อมูลสามารถควบคุมข้อมูลของตนได้ดียิ่งขึ้น หลักเกณฑ์ดังกล่าวยังขยายขอบเขตไปถึงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของคนยุโรปที่อยู่นอกเขตสหภาพยุโรปด้วย เรื่องดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลอย่างมาก แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าจะรูปแบบการบังคับตามกฎหมายดังกล่าวนอกเขตสหภาพยุโรปจะเป็นอย่างไร เพราะหากธุรกิจไม่มีมาตรการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ อาจเกิดข้อติดขัดในการดำเนินธุรกิจอันกระทบระบบเศรษฐกิจในภาพรวมได้ ดังนั้นการที่ประเทศไทย ยังไม่มีกฎหมายเพื่อคุ้มครองคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และไม่มีมาตรฐานที่เทียบเท่าสากลจึงอาจเป็นอุปสรรคสำคัญทางการค้าการลงทุน หรือการพัฒนาประเทศในยุคที่โลกสามารถเชื่อมโยงกันอย่างไร้พรมแดน และอาจถูกกดดันจากต่างประเทศ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องผลักดันให้ประเทศมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความเข้มแข็งและสามารถต่อสู้ในเวทีระหว่างประเทศได้อย่างทัดเทียม