นายจักกพันธ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า จากการพัฒนาประสิทธิภาพการระบายน้ำในรูปแบบต่างๆ ทำให้ขณะนี้พื้นที่กรุงเทพฯเ หลือจุดอ่อนที่เสี่ยงต่อปัญหาน้ำท่วม เพียง 17 จุดทั่วพื้นที่ จากเดิมในอดีตที่มีกว่า 50 จุด ได้แก่ ถนนแจ้งวัฒนะ บริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์หลักสี่ หน้า สน.บางเขน เขตบางเขน ถนนแจ้งวัฒนะ จากคลองประปา ถึงคลองเปรมประชากร เขตหลักสี่ ถนนรัชดาภิเษก บริเวณหน้าธนาคารกรุงเทพ เขตจตุจักร ถนนพหลโยธิน บริเวณหน้าตลาดอมรพันธ์และแยกเกษตรศาสตร์ เขตจตุจักร ถนนประชาราษฎร์สาย 2 บริเวณแยกเตาปูน เขตบางซื่อ ถนนราชวิถี บริเวณหน้าราชภัฏสวนดุสิตและเชิงสะพานกรุงธน เขตดุสิต ถนนพญาไท บริเวณหน้ากรมปศุสัตว์ เขตราชเทวี ถนนศรีอยุธยา บริเวณหน้า สน.พญาไท เขตราชเทวี ถนนเจริญกรุง ช่วงจากถนนแปลงนาม ถึงแยกหมอมี เขตสัมพันธวงศ์ ถนนเยาวราชฝั่งเหนือ ช่วงจากถนนทรงสวัสดิ์ ถึงถนนราชวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ ถนนจันทน์ ช่วงจากซอยบำเพ็ญกุศล ถึงที่ทำการไปรษณีย์ยานนาวา เขตสาทร ถนนสวนพลู ช่วงจากถนนสาทรใต้ ถึงถนนนางลิ้นจี้ เขตสาทร ถนนสาธุประดิษฐ์ บริเวณแยกถนนจันทน์ เขตสาทร ถนนสุวินทวงศ์ ช่วงจากคลองสามวาถึงคลองแสนแสบ เขตมีนบุรี ถนนเพชรเกษม ช่วงจากคลองทวีวัฒนาถึงคลองราชมนตรี เขตบางแค ซอยถนนหมู่บ้านเศรษฐกิจ จากถนนเพชรเกษมถึงวงเวียนกาญจนาภิเษก เขตบางแค ถนนบางขุนเทียนชายทะเล ช่วงจากถนนพระรามที่ 2 ถึงคลองสะแกงาม เขตบางขุนเทียน นอกจากนี้ จะเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง อีก 35 จุด
นายจักกพันธ์ กล่าวต่อว่า ในพื้นที่จุดอ่อนน้ำท่วมดังกล่าว ด้วยบางจุดเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ บางจุดมีระบบระบายน้ำเก่า ท่อระบายน้ำขนาดเล็ก ทำให้การระบายน้ำดำเนินได้ช้า ซึ่งแต่ละจุดจะสามารถรองรับความเข้มของฝนได้ไม่เกิน 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง โดยหากฝนมีปริมาณความเข้มสูง ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขัง ต้องใช้เวลาในการะบายน้ำในระยะหนึ่งได้ อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครได้วางแผนการแก้ปัญหาชั่วคราวโดยการเพิ่มจำนวนเครื่องสูบน้ำ ทำบ่อสูบ เพื่อเร่งการระบายน้ำรองรับสถานการณ์ในฤดูฝนปีนี้
ส่วนการแก้ปัญหาในระยะยาวจะมีการปรับกายภาพพื้นที่ในบริเวณที่สามารถดำเนินการได้ ดำเนินโครงการในรูปแบบต่างๆ ทั้งการขยายท่อระบายน้ำ การจัดทำพื้นที่เก็บน้ำใต้ดิน หรือการจัดทำเส้นทางระบบระบายน้ำที่เหมาะสม ซึ่งในบางจุดก็อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป