พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนประเทศไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน” ณ หอประชุมจุฬาฯ โดยบรรยากาศก่อนการปาฐกถา นิสิต พนักงาน จุฬาฯ นับการตรวจเข้างานอย่างเคร่งครัด ซึ่งนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล อดีตประธานสภานิสิต ยังเข้าร่วมรับฟังการบรรยายครั้งนี้ด้วย โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้แยกตัวนายเนติวิทย์ขี้นไปนั่งบนชั้นลอยของหอประชุม มีเจ้าหน้าที่สันติบาลคอยดูแล แต่ตลอดงานและการกล่าวปาฐกถา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี รับข้อเสนอมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ผลักดันให้จุฬาฯ สร้างคนให้อีอีซี และสร้างเทคโนโลยีให้กับประเทศ ประกอบด้วย จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม ซึ่งจุฬาฯจะขยายความร่วมมือกับภาคเอกชน นักลงทุนอิสระ ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงและขยายผลนวัตกรรมแห่งสยาม และจะขอร่วมกับโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ ผลักดันพันธิกิจใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ทุกคนเตรียมการรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่การพัฒาที่มั่นคงมั่งคั่ง ยั่งยืน ตามแผนปฎิรูปประเทศ แม้จะทำไม่ได้ในวันเดียวแต่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการผลิตนักศึกษาที่ต้องผลิตในทุกปีๆ
สำหรับยุทธศาตร์ชาติ แม้จะกำหนดไว้ใน 20 ปี แต่ในความเป็นจริงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากมีเหตุผลและความจำเป็น เพื่อให้ยุทธศาสตร์ชาติเปรียบเสมือนเรือธงที่จะนำประเทศไปสู่เป้าหมายใหญ่ ขณะที่นโยบาบายของฝ่ายการเมืองสามารถนำมาปรับใช้คู่ขนาดกันไปได้
นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันถึงความตั้งใจในวัยเด็กว่าอยากเป็นทหาร ไม่คิดว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ขอให้เยาวชนทุกคนตั้งเป้าหมายในชีวิต เพราะบางครั้งบางคนอาจจะไม่ได้ทำงานตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องมีความมุ่งมั่น มีความพยายาม เพื่อให้ชีวิตเดินตามเป้าหมายที่วางไว้ได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี รับข้อเสนอมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ผลักดันให้จุฬาฯ สร้างคนให้อีอีซี และสร้างเทคโนโลยีให้กับประเทศ ประกอบด้วย จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม ซึ่งจุฬาฯจะขยายความร่วมมือกับภาคเอกชน นักลงทุนอิสระ ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงและขยายผลนวัตกรรมแห่งสยาม และจะขอร่วมกับโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ ผลักดันพันธิกิจใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ทุกคนเตรียมการรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่การพัฒาที่มั่นคงมั่งคั่ง ยั่งยืน ตามแผนปฎิรูปประเทศ แม้จะทำไม่ได้ในวันเดียวแต่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการผลิตนักศึกษาที่ต้องผลิตในทุกปีๆ
สำหรับยุทธศาตร์ชาติ แม้จะกำหนดไว้ใน 20 ปี แต่ในความเป็นจริงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากมีเหตุผลและความจำเป็น เพื่อให้ยุทธศาสตร์ชาติเปรียบเสมือนเรือธงที่จะนำประเทศไปสู่เป้าหมายใหญ่ ขณะที่นโยบาบายของฝ่ายการเมืองสามารถนำมาปรับใช้คู่ขนาดกันไปได้
นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันถึงความตั้งใจในวัยเด็กว่าอยากเป็นทหาร ไม่คิดว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ขอให้เยาวชนทุกคนตั้งเป้าหมายในชีวิต เพราะบางครั้งบางคนอาจจะไม่ได้ทำงานตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องมีความมุ่งมั่น มีความพยายาม เพื่อให้ชีวิตเดินตามเป้าหมายที่วางไว้ได้