พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีอัยการภาค 7 มีความเห็นไม่สั่งฟ้องนายเปรมชัย กรรณสูต 5 ข้อหา จาก 11 ข้อหา ว่า วันที่ 9 เมษายนนี้ จะเรียกพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 มาหารือ หลังพนักงานสอบสวนได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการเย็นวานนี้ (5 เม.ย.) เบื้องต้นสั่งการให้พนักงานสอบสวนเตรียมหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น ประกาศกฎกระทรวงของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตเข้าไปในพื้นที่อุทยาน เพื่อนำมาพิจารณาในข้อหา "ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่" ประเด็นนี้จะไม่มีบทลงโทษกำหนดไว้ แต่ตามข้อมูลการสอบปากคำพบว่านายเปรมชัย ไม่ได้ทำหนังสือเพื่อขออนุญาตเข้าพื้นที่ตั้งแต่แรก ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดและมีผลผูกพันต่อการฟ้องร้องทางแพ่งที่ตัวแทนกรมอุทยานฯ ได้เข้าร้องทุกข์ไว้
ส่วนข้อหา "ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์ป่าหรือจับสัตว์ป่าหรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่" มีผลพิสูจน์ชัดเจนจากกองพิสูจน์หลักฐานว่าอาวุธปืนที่พกเข้าไปเป็นของนายเปรมชัย ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงข้อหา "ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่" ที่สั่งฟ้องเพียงนายธานี ทุมมาศ แต่ไม่สั่งฟ้องคนอื่น ซึ่งเมื่อมีความชัดเจนแล้วว่าปืนดังกล่าวเป็นของนายเปรมชัย จึงเห็นว่าเข้าข่ายความผิดฐานร่วมกัน หรือ มีความผิดฐานสนับสนุน ส่วนอีก 2 ข้อหา คือ "ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต" และ "ร่วมกันทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร" เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่มีความเห็นสั่งฟ้องตั้งแต่แรก ตรงกับความเห็นของพนักงานอัยการ จึงเห็นว่าอาจไม่ทำความเห็นแย้งใน 2 ข้อหาดังกล่าวยืนยันว่าที่จะพิจารณาทำความเห็นแย้ง เพราะมีพยานหลักฐานชัดเจนที่เชื่อว่าเพียงพอจะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ แต่ต้องสอบถามความเห็นพนักงานสอบสวนอีกครั้งว่าจะทำความเห็นแย้งกี่ประเด็นท ซึ่งจะเร่งพิจารณาส่งความเห็นแย้งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาดไม่เกิน 10 เมษายนนี้
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวต่อว่า รู้สึกดีใจที่พนักงานอัยการเห็นด้วยกับข้อหาล่าสัตว์ป่า ที่เน้นชัดไปที่เสือดำ รวมถึงประเด็นที่นายเปรมชัย ร้องขอความเป็นธรรมกับพนักงานอัยการและอัยการได้ชี้แจงว่าประเด็นที่ร้องขอมานั้น ตำรวจได้ดำเนินการครบถ้วนแล้ว ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าตำรวจทำหน้าที่ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ อีกทั้งประเด็นที่พนักงานอัยการแจ้งขอให้ตำรวจดำเนินการเพิ่มหลังรับสำนวนคดีไปพิจารณา ก็ไม่ใช่การสอบปากคำพยานใหม่ แต่เป็นการขอให้ระบุข้อหาและพฤติการณ์ให้ชัดเจนเท่านั้น ทั้งนี้ ยืนยันว่า ตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับอัยการ เมื่อมีการทำความเห็นมาเป็นหนังสือ ก็ต้องทำหนังสือชี้แจงกลับ