นายสมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ เลขาธิการคุรุสภา กล่าวถึงการสอบข้อเท็จจริงด้วยการจรรยาบรรณวิชาชีพครู นายปรีชา ใคร่ครวญ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทพมงคลรังษี จังหวัดกาญจนบุรี ว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการลงพื้นที่สืบสวนข้อเท็จจริงก่อน เนื่องจากตามกฎหมาย นายปรีชา ยังไม่ได้รับโทษ อีกทั้งคดีความยังไม่สิ้นสุด โดยข้อกล่าวหาที่นายปรีชาได้รับ คือการแจ้งความเท็จเท่านั้น ซึ่งหลังจากมีการสืบข้อเท็จจริง พบว่ามีมูล ก็จะเสนอให้คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อ และแม้ว่าเรื่องดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากประชาชน แต่ในกระบวนการตรวจสอบต้องใช้เวลา ไม่สามารถร่นระยะเวลาการสืบสวนให้เร็วขึ้นได้ เหมือนกับกระบวนการสืบสวนตรวจสอบ ข้อเท็จจริงตามกฎหมายทั่วไป ที่ต้องเปิดโอกาสและให้ความเป็นธรรมกลับผู้ถูกกล่าวหาเช่นกัน
สำหรับการพิจารณาความผิดด้านจรรยาบรรณวิชาชีพครู มีหลักเกณฑ์การพิจารณา 5 ด้าน ได้แก่ จรรยาบรรณต่อตนเอง จรรยาบรรณวิชาชีพ จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ จรรยาบรรณต่อร่วมประกอบวิชาชีพ และจรรยาบรรณต่อสังคม ซึ่งในส่วนสของพฤติกรรมของนายปรีชา จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น น่าจะเข้าข่ายความผิดจรรยาบรรณต่อตนเอง ส่วนจะเป็นความผิดในแง่ใดต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติม เพราะในแง่ขอความผิดจรรยาบรรณต่อตนเอง แยกเป็น เรื่องความซื่อสัตย์ ความเป็นแบบอย่าง ความไม่มีวินัย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของความผิดจรรยาบรรณต่อตนเอง ก็ถือว่า เป็นความผิดไม่ร้ายแรง
นอกจากนี้ แม้ว่านายปรีชา จะเป็นครูสอนพุทธศาสนา แต่ก็ไม่ได้มีผลให้การตัดสินเรื่องของจรรยาบรรณจะมีโทษร้ายแรงกว่าการสอนวิชาอื่นๆ อีกทั้งหากมีการเปรียบเทียบการตรวจสอบเรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพ จะพบว่าวิชาชีพครูมีการออกใบอนุญาตเป็นล้านฉบับ แต่ในส่วนของผู้กระทำความผิด หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียในวิชาชีพครูนั้นมีน้อย ไม่ถึงร้อยละ 1 ซึ่งความผิดในส่วนของการแจ้งความเท็จจริงที่ผ่านมาไม่ค่อยได้มีบทลงโทษรุนแรง ผิดกับเรื่องของผู้ประกอบวิชาชีพครูที่พัวพันหรือเกี่ยวข้อง ยาเสพติด ทุจริตในหน้าที่ ล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ถือว่ามีความผิดร้ายแรง ต่อทางราชการและต้องได้รับการลงโทษถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต
ขณะที่บทลงโทษความผิดเกี่ยวกับจรรยาบรรณ มีตั้งแต่เบาไปหนัก ตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ