xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 22 ธันวาคม 2560

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

...
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ช่วงนี้ ใกล้เทศกาลปีใหม่ เทศกาลที่เราคนไทยนิยม ส่งความสุขถึงกัน และ อำนวยอวยพรซึ่งกันและกัน ให้พบแต่สิ่งดี ๆ ในโอกาสนี้นะครับ ผมก็อยากให้พี่น้องชาวไทยทุกคนมี ความสุขที่ยั่งยืนใครที่มีความฝัน ก็ขอให้สมความหวัง ด้วยการลงมือทำ ไม่ต้องรอคอยความหวังแต่เพียงอย่างเดียว การช่วยเหลือแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ หรือรอโชคชะตาฟ้าลิขิต รอการเลือกตั้ง รอรัฐบาลใหม่อะไรทำนองนี้ ต้องทำตั้งแต่วันนี้ ไม่มีพรใดจะศักดิ์สิทธิ์ หรือส่งผล สัมฤทธิ์ได้ หากเราไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา ด้วยปัญญา ไม่ใช้ความเพียร อย่างมุ่งมั่น ผมอยากให้ทุกคนอยู่บนโลกของความเป็นจริง มีหลักคิดบนพื้นฐานของเหตุและผล ที่เป็นวิทยาศาสตร์ และก็ใช้อดีตเป็นบทเรียนสอนใจ แม้ใครจะเคยล้ม ก็ขอให้ลุกขึ้นก้าวเดินต่อไปได้เราจะเป็นกำลังใจให้แก่กันตลอดไป สัปดาห์หน้า ก็จะเป็นวันสิ้นสุดโครงการ ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาล ทั่วประเทศ ของคุณตูน บอรดี้สแลมและทีมงาน ก็ขอให้ประสบความ สำเร็จ ปลอดภัย โดยสวัสดิภาพ ขอขอบคุณที่นำความสุข และรอยยิ้มมาสู่คนไทยทั้งประเทศ ตลอดระยะเวลา 2 เดือน ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยขอบคุณที่เป็นสะพานเชื่อมใจคนไทย ในการมีความรัก ความสามัคคี เผื่อแผ่แบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอดเส้นทาง 2 พันกว่ากิโลเมตรขอขอบคุณที่ได้สอนให้คนไทยได้มีการรักสุขภาพจากจุดนี้ ก็อยากจะขอให้คนไทย ช่วยกันก้าวคนละก้าวแต่จะเป็นการ ก้าวไปพร้อมๆ กันเพื่อวันข้างหน้าของเรา ที่ดีกว่าวันนี้ ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วก็จะต้องเป็นก้าวย่างที่มั่นคงตลอดไป พี่น้องประชาชนที่เคารพทุกท่านรัฐบาลและ คสช. ไม่ได้เพียงคำนึงถึงเพียงของขวัญปีใหม่ สำหรับคนไทยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ ในแต่ละปี เท่านั้น เพราะว่าการช่วยลดค่าใช้จ่าย การบรรเทาความเดือดร้อนก็จะเป็นเพียง ความสุขชั่วคราว ความสุขชั่วข้ามคืน ซึ่งอาจจะต้องยังคงมีความจำเป็นอยู่ เพราะว่าประเพณีของไทยเรา ในช่วงเทศกาลสำคัญๆ ก็ต้องมีอะไรมอบให้กัน แต่สิ่งที่ผมปรารถนา ก็คือการนำพาบ้านเมืองของเราไปสู่ ให้เป็นของขวัญในวันหน้าให้กับลูกหลาน ซึ่งก็จะเป็น ความสุขที่ยั่งยืน สิ่งสำคัญก็คือเราจะต้องดูในเรื่อง การบริหารราชการแผ่นดิน ในลักษณะที่การมีส่วนร่วมทั้งรัฐ แล้วก็ประชาชน แล้วเราก็น้อมนำหลักปรัชญาของ "เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้ ก็พระราชโบบายของในหลวงรัชกาลที่ 10 มาสืบสาน ต่อยอดไปให้ได้ เพื่อจะไปสู่การ เป็นแนวทางในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อย่างต่อเนื่อง เกิดการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ คือวันนี้เราต้องปฏิรูปประเทศให้ได้ ที่ผ่านมาเราก็ทำไปมากพอสมควร อย่าไปคำนึงถึงว่าจะปฏิรูปก่อน ปฏิรูปหลัง อะไรทำนองนี้ เราปฏิรูปได้ตลอดเวลา ทุกวันทุกเวลา เริ่มจากตัวตนไปก่อนก็ได้ ซึ่งเราทุกคน ก็พอจะรับทราบไปบ้างแล้ว ก็ขอให้มีส่วนร่วมในการพิจารณาถึงอนาคตอันใกล้ของเรา หลังจากช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็ขอให้ทุกคนเตรียมความพร้อม มีกำลังกาย กำลังใจ สติปัญญา ในการที่จะเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง สิ่งดีๆ ก็กำลังจะเกิดขึ้นผมก็อยากให้ทุกคนได้ภาคภูมิใจว่า จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ที่เราทุกคนได้ร่วมกันสร้างมา ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ก็คงจะมีสิ่งดีๆ ค่อยๆ ทยอยออกมา อย่างต่อเนื่อง เราต้องช่วยกัน ทั้งจากภายในและภายนอก โดยคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ถ้าเราร่วมกันสร้างความดี ก็สำเร็จแน่ แน่นอน หากพูดถึง ของขวัญแล้วรัฐบาลและ คสช. ไม่ได้รอที่จะมอบให้กับพี่น้องประชาชน เฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ แต่จะมอบให้ทุกๆ วัน เราจะเร่งมือในการทำงาน ในทุกประเด็น ทุกมิติ ทั้งแก้ไขปัญหาทั้งที่เริ่มใหม่ แล้วก็ดำเนินทุกอย่างให้เกิดความต่อเนื่อง ยั่งยืน หลายสิ่งที่ลงมือทำไปแล้ว ลงมือแก้ปัญหาไปแล้ว ตลอดระยะเวลา 3 ปี บางอย่างบรรลุผลไปแล้ว ทุกคนอย่าลืมสิ่งเหล่านั้นบ้าน เมืองของเราก็มีสิ่งดี ๆ มากมายจากการทำงานร่วมกัน โดยการขับเคลื่อนกลไก ประชารัฐเราทุกคน ยังคงจำกันได้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของชาวโลก ที่ผ่านมานั้นอาจจะถูกสะสม ทับถม รอการสะสางมานานนับสิบๆ ปี เป็นปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศจะบอกว่าไม่สำคัญไม่ได้ เพราะทำให้ เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในเวทีระหว่างประเทศ ต่างประเทศ ทำให้นำมาสู่แรงกดดันทางเวทีประชาคมโลก คงไม่ใช่จากเรื่องเป็นประชาธิปไตย หรือไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างเดียว วันนี้ต้องดูในหลายมิติด้วยกัน ซึ่งอาจจะทำให้การค้า การเจรจา การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย กับชาติพันธมิตร - คู่ค้า - คู่สัญญา ก็ทำให้เกิดเงื่อนไข ที่เราเป็น "ฝ่ายเสียเปรียบ" อยู่ตลอดเวลา เราอาจจะไม่สามารถทำในสิ่งที่ถูกต้อง หรือ สิ่งที่เป็นกติกาสากลได้ เพราะว่าปัญหาภายในของเราเอง ปัญหาเหล่านั้น ที่ได้รับการคลี่คลาย และ แก้ไขไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไปสู่ความยั่งยืน ได้แก่ 1. คือการแก้ปัญหาการค้างาช้างภายในประเทศ ตามอนุสัญญาไซเตส 2. การ ปลดธงแดง ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ซึ่งมีความก้าวหน้ามาไปตามลำดับ 3.ก็คือการต่อสู้กับการค้ามนุษย์ เราได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ จนสามารถลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์การค้ามนุษย์ลง ไม่ได้หมายความว่าลดลงได้ 100 % ทุกคนต้องช่วยกัน ทุกคนต้องเป็นหูเป็นตา เจ้าหน้าที่ก็ต้องระมัดระวังในการบังคับใช้กฎหมาย อย่าปล่อยปละละเลย ประชาชน ผู้ประกอบการ ก็ต้องไม่ฝืนกฎหมายจากสถานการณ์การค้ามนุษย์ตามรายงาน TIP Report ของสหรัฐฯ เราได้หลุดจาก "ระดับ 2 ที่ถูกจับตามอง 4.คือการแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย ซึ่งวันนี้ก็มีความคืบหน้าไปมาก ล่าสุดเราได้แจ้งให้ทาง EU ได้ทราบความคืบหน้าในการดำเนินการที่ผ่านๆ มา เมื่อต้นเดือนธันวาคมนี้ เราก็เพื่อพยายามที่จะแก้ปัญหาให้เป็น มาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยให้ได้รับการปลดธงเหลือง เราก็ต้องให้ความ สำคัญกับการตรวจสอบย้อนกลับการบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินคดีกับเรือประมงนอกน่านน้ำ และ การบูรณาการการให้ความช่วยเหลือชาวประมงที่ได้รับความเดือดร้อน เราต้องใช้ทั้งหลักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ หลายอย่างที่ต้องแก้ไขทั้ง 3 ส่วน ไปด้วยกัน 3 วิธีการไปด้วยกัน อันนี้ก็ขอขอบคุณบรรดาผู้ประกอบการประมงทั้งหมดด้วยถ้าท่านไม่ร่วมมือก็ไปไม่ได้ ประมงพื้นบ้านไม่ร่วมมือก็ไปไม่ได้อีก เพราะทุกคนอยู่ในห่วงโซ่ เรื่องประมงด้วยกัน ทุกคนก็มีผลประโยชน์มากน้อยบ้างอะไรตรงนั้น ทำอย่างไรจะเกิดความสมดุลได้ แล้วก็ทำให้ทรัพยากรเรามีหลงเหลือให้อนาคตด้วย หลายสิ่งได้รับการแก้ไขไปแล้ว แน่นอนต้องมีคนเดือดร้อน ถ้าเดือดร้อนด้วยทำผิดกฎหมาย ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันนะ เพราะกฎหมายคือกฎหมาย แต่ท่านต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงไปบ้างรัฐก็พยายามที่จะดูแลอยู่แล้ว เรื่องที่ 5. คือผลการประกาศสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทย พูดง่ายๆ คือเรื่องลิขสิทธิ์ การปลอมแปลงสินค้าอะไรเหล่านี้ สหรัฐฯ ก็ ได้เผยแพร่มาแล้ว โดยถอดประเทศไทย ออกจาก กลุ่มประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ ให้อยู่เพียงในกลุ่มบัญชีจับตาธรรมดา หลัง ประเทศไทยได้ใช้ความพยายามในเรื่องนี้มาแล้วกว่า 10 ปี ก็ไม่สำเร็จ รัฐบาลนี้ได้ประกาศสงครามกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทุกรูปแบบ เราใช้เวลา 3 ปี อย่างเอาจริงเอาจัง ในการสร้างจิตสำนึก ทำความเข้าใจ ปราบปราม และขอความร่วมมือ ทั้งในประเทศ แล้วก็ประเทศเพื่อนบ้านด้วย ตลาดต่างๆ ก็ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ก็ ทำให้เกิดผลดี คือสหรัฐฯ ยอมรับในการทำงานที่กล่าวมา ซึ่งจับต้องได้ เห็นผลเป็นรูปธรรม แสดงออกถึงความจริงใจ เจตนารมย์มุ่งมั่นในการแก้ปัญหา เช่น การแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ อย่างที่ผมเรียนไปแล้ว กฎหมายหลายฉบับเราไม่ทันสมัย ไม่เป็นสากล เราต้องแก้ไข มีการเพิ่มจำนวนผู้ตรวจ สอบสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า มากขึ้น ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการค้าในปัจจุบัน หลายอย่างใช้โครงสร้างเดิมไม่ได้แล้ว วันนี้เราต้องเพิ่มเติมเจ้าหน้าที่จำนวนเหล่านี้ เจ้าหน้าที่ประเภทนี้ ในทุกๆกิจกรรม ในเรื่องของการตรวจสอบเพื่อจะลดปริมาณคำขอจด ที่ค้างอยู่จำนวนมาก ลดเวลาจดให้ได้ตามมาตรฐานสากล สนับสนุนงบประมาณสำหรับเครื่องไม้เครื่องมือ และระบบ IT ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาตลอดจน สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคงต่าง ๆ ทั้งตำรวจ - ทหาร - กอ.รมน. - DSI - ปปง. - กรมศุลกากร และทุกภาคส่วน ให้มีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดนี้ให้ได้อย่างยั่งยืน และเด็ดขาด ทำอย่างต่อเนื่อง ให้มากขึ้นไปอีก ในครั้งนี้ สหรัฐฯ ได้พิจารณาทบทวนเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะประเทศไทย เป็นประเทศเดียวที่ได้รับการพิจารณาอยู่ช่วงนี้ ความสำเร็จต่างๆ เหล่านั้น เราทุกคนเข้าใจดีว่า ไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยง่าย หลายคนต้องปรับตัว เปลี่ยนพฤติกรรมและ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อาจจะมีผลกระทบทางด้านธุรกิจบ้างแต่เป็นความจำเป็นรัฐบาลเอง ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อมด้านเศรษฐกิจไปด้วย เนื่องจากเงินจากธุรกิจสีเทา เหล่านั้น คือการทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะมาก จะน้อยได้หดหายไปจากระบบเศรษฐกิจฐานราก เป็นจำนวนมากพอสมควรแต่เราก็ต้อง มาช่วยกันคิดว่าเราควรจะต้องเลือกทำในสิ่งที่ถูก ละเลิกในสิ่งที่ผิด แม้จะต้อง ลำบากในช่วงต้น อันนี้ก็ต้องขอร้อง บรรดาประชาชนผู้ที่มีรายได้จากในส่วนต่างๆ เหล่านี้ที่ผิดกฎหมาย ผิดกติกา ไม่อย่างนั้นก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้เหมือนเดิมแล้วเราก็มาดูแลกันว่าจะทำอย่างไรกับคนกลุ่มนี้ ก็ต้องแสดงตัวกันออกมา รวมกลุ่ม รัฐบาลจะได้ดูแลแก้ปัญหาได้เป็นนโยบายต่อไปที่เราจะทำอยู่ สิ่งที่ทำวันนี้จะทำให้เกิดความสุขสบายที่ยั่งยืน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นผลงานสำคัญของฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาล ที่จะส่งผลดีต่อฝ่ายเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศให้สามารถดำเนินนโยบายได้ง่ายขึ้น เหมือนกับวิสัยทัศน์ของประเทศที่ได้กำหนดไว้ว่าให้สร้างความมั่นคงให้ได้ก่อนแล้วความมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ก็จะตามมาด้วย หากเราทำในสิ่งที่ถูกต้องในวันนี้ รายได้อาจลดลงบ้าง เดือดร้อนบ้าง เราก็ไปดูแลกันตรงนั้นระยะต่อๆ ไปก็จะดีขึ้นตามลำดับเพราะจะเป็นการทำให้ทุกคนที่สุจริตเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียมในการที่จะหารายได้ ในทุกกิจกรรม ไม่ถูกบางกลุ่ม บางฝ่าย หรือบางคนที่ทำผิดกฎหมาย เข้ามายึด เข้ามาครอบครอง ในการทำความผิดอยู่ในพื้นที่ทุกพื้นที่ ก็จะเปิดเวที เปิดแหล่งน้ำให้มากยิ่งขึ้น ให้ทุกคนเอาเบ็ดมาตกปลาได้มากขึ้นช่วงนี้อาจจะต้องลำบากไปอยู่บ้าง ก็ต้องขอโทษด้วย ก็ลองคิดดูแล้วกันว่าที่ผมพูดนี่ผิด หรือถูกไม่อยากให้ใครเดือดร้อนอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ทำวันนี้ วันหน้าก็ไม่ทำอีก พี่น้องประชาชนที่รักศักราชใหม่นั้น ผมอยากให้พวกเราทุกคนได้มอง ปัญหาแบบใหม่ๆปัญหาแบบใหม่ๆ ในมุมมองที่แตกต่าง เราจะต้องแปลงปัญหา หรือแปลงวิกฤตต่างๆ ให้เป็นโอกาส หมายถึงโอกาสที่เราจะได้ร่วมแรงร่วมใจกัน เพื่อจะสานพลังประชารัฐต่อสู้และผลักดัน ประชารัฐมันไม่ใช่รัฐบาลอย่างเดียว มีทั้งประชาชน ประชาสังคม และทั้งธุรกิจเอกชน ทุกคนที่เป็นคนไทยต้องมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนพลังเหล่านี้ เพื่อจะแก้ปัญหาในปัญหาไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็ก ปัญหาน้อย ปัญหาใหญ่ เช่นยกตัวอย่าง จ.กาฬสินธุ์ มีรายได้น้อยอยู่ระดับท้ายๆ ของ 76 จังหวัด แต่รายล้อมไปด้วยจังหวัดต่างๆ ที่มีรายได้สูง เราจะทำยังไงล่ะครับ เราจะทิ้งกาฬสินธุ์ไว้ก็ไม่ได้ โดยเฉพาะ 20 จังหวัดที่มีความยากจนลำดับจากท้ายขึ้นมา ไม่รวมกรุงเทพมหานคร 76 จังหวัด 20 จังหวัดท้ายๆ ที่มีรายได้ต่ำเราจะทำยังไงกับเขา มันต้องหากลุ่มจังหวัดมาเชื่อมโยง เราจะต้องไม่ทิ้งกาฬสินธุ์ไว้ข้างหลัง อันนี้เฉพาะกลุ่มจังหวัดตรงนี้ มันมีอีกหลายกลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด ต้องช่วยกันดู จากจังหวัดก็ไปกลุ่มจังหวัด แล้วก็ไปภาค วันนี้เราบริหารประเทศในภาพรวม เรามีทั้งจังหวัด กลุ่มจังหวัด และในส่วนของภาค กบพ. จัดตั้งขึ้นมาใหม่แล้ว มันจะเติมกันไปตั้งแต่พื้นฐานจากงานฟังก์ชั่น งานบูรณาการ และบูรณาการอีกขั้นหนึ่ง บูรณาการระดับภาค เพราะฉะนั้นมันจะท็อปดาวน์ลงไปในเรื่องของงบประมาณ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องเสนอแผนงานจากข้างล่างขึ้นมาด้วยความต้องการของพื้นที่ ของประชาชนเป็นไปตามข้อมูลของแต่ละที่ที่มีความแตกต่างกัน เราต้องสร้างความเชื่อมโยงให้ได้ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง เอาทุกกลุ่ม ทุกสาขาวิชาชีพเข้ามาอยู่ในวงจร ในห่วงโซ่อุปทาน เราจึงจะสามารถเสริมความเข้มแข็งร่วมกันได้

สำหรับยุทธศาสตร์บริหารประเทศในภาพรวมตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 อาทิ การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสู่การพัฒนาประเทศ เช่น การสร้างสรรค์แอปพลิเคชันบนมือถือ ยกระดับการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายให้การบริการประชาชน หรือที่เรียกว่า POLICE I LERT U ผมได้เคยกล่าวถึงเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา วันนี้ได้พัฒนาไปมากแล้ว โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขยายพื้นที่ให้บริการเดิม ซึ่งมีอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑลไปสู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศแล้ว จุดแข็งของระบบคือ เข้าศูนย์ 191 ของทุกจังหวัดด้วยระบบกำหนดที่ตั้งโดยดาวเทียม GPS ทำให้ตำรวจสามารถไปถึงจุดเกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นทุกสถานีตำรวจ ทุกหน่วยงานความมั่นคงก็ต้องสแตนบายให้พร้อม ไม่ใช่เขาแจ้งมาแล้วไม่ไปอีก หรือไปช้า วันนี้เรามียอดประชาชนดาวน์โหลด ที่เรียกว่าแอปช่วยชีวิตนี้ไปใช้แล้วกว่า 2 แสนราย ผมอยากแนะนำให้เด็ก ผู้หญิง คนชรา ผู้บกพร่องทางร่างกายได้มีไว้ใช้อย่างฉุกเฉินด้วย คงไม่ใช่เรื่องอาชญากรรมแต่เพียงอย่างเดียว เรื่องสุขภาพ เรื่องการบริการ โรงพยาบาล เหล่านี้จะได้รู้ทันเวลา เพราะเราไม่อาจจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ทั้งเรื่องสุขภาพส่วนตัว ทั้งเรื่องเหตุร้ายต่างๆ เหล่านี้ หรือแม้กระทั่งอุบัติเหตุในระหว่างการเดินทางไปท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นปีใหม่ปีนี้ก็กรุณานะครับ ลองดาวน์โหลดไปด้วยในช่วงกลับภูมิลำเนา ในช่วงปีใหม่ และเทศกาลต่างๆ ที่อาจจะมีการสัญจรทางถนนมากๆ

นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชันบนมือถือจำนวนมาก นี่คือการใช้ประโยชน์จากมือถือในศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ ที่เรียกว่า GAC แอปซึ่งกำหนดเน้นให้บริการประชาชน ให้ตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันเป็นหลัก ทุกคนลองเลือกใช้ดู นี่เป็นการปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิตอลในวันนี้ ลองใช้ดูแล้วกัน

อีกประการหนึ่ง อยากจะรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนให้มาร่วมกันทำกิจกรรมอาสาสมัคร เรามีอยู่หลายอาสาสมัครแล้ว และเป็นประโยชน์มากในทุกพื้นที่ เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถที่จะส่งเสริมกิจกรรมของอาสาสมัครเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นอาสาสมัครเรื่องความมั่นคง อาสาสมัครเรื่องการสาธารณสุข การดูแลกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ในชุมชนของท่าน มันจะช่วยรัฐ ช่วยเจ้าหน้าที่ได้เยอะ ให้ช่วยกันทำประโยชน์ให้สังคม เพราะฉะนั้นนอกจากรัฐที่ต้องดูแลสนับสนุนแล้ว ส่วนหนึ่งอยากจะขอร้องให้ภาคธุรกิจเอกชนที่ได้ประกอบการอยู่ในพื้นที่ได้เข้ามาดูแลอาสาสมัครเหล่านี้ด้วย ให้งบประมาณให้อะไรต่างๆ เพื่อเข้าไปช่วยในการที่จะดูแลคน เพราะว่าเขาอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่มากที่สุด แล้วสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ วันนี้เรามีจิตอาสาตามแนวพระราโชบายของในหลวง รัชกาลที่ 10 ด้วย ซึ่งทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อประเทศไทยของเรา มีอยู่ทุกพื้นที่เช่นกัน เพราะฉะนั้นต้องทำงานร่วมกันให้ได้หลายๆ ภาคส่วน

ข้อสำคัญคือ ภาคธุรกิจ เอกชน ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กรายน้อยรายใหญ่ ตามขีดความสามารถของท่าน ช่วยกันเข้ามาดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยด้วย ไม่ว่าจะปัญหาหนี้สิน ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิต การสาธารณสุขอะไรต่างๆ เหล่านี้ อาจจะต้องมาเข้ากลไก หรือผ่านในเรื่องของอาสาสมัครก็ได้ บางท่านก็มีโอกาสที่จะช่วยชาติได้อีกมากมาย แล้วก็จะเป็นกุศล เป็นชื่อเสียง และความยอมรับ การไว้เนื้อเชื่อใจ ในการสนับสนุนของท่านจากประชาชนในพื้นที่โดยทั่วไปอีกด้วย จากสังคม วันนี้ต้องลดแรงกดดันตรงนี้ไปให้ได้ สำหรับภาคเอกชน ผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งหมด

นอกจากนั้นแล้วการขับเคลื่อนประเทศด้วย 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญของไทยแลนด์ 4.0 โดยระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) แล้วนำร่องอีก 10 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในอนาคต ส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดของ BOI สะท้อนให้เห็นลู่ทางที่สดใส มีสถิติการลงทุนที่น่าสนใจอย่างมากในระยะ 3 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลนี้ อาทิ มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั่วประเทศกว่า 6,300 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 2.7 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC เกือบ 1,700 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 1.3 ล้านล้านบาท หรือ 1 ใน 3 ของโครงการทั่วประเทศ ซึ่งมีมูลค่าเกือบครึ่งหนึ่งที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เราต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ มันจะสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้เพิ่มขึ้นในพื้นที่ แล้วเชื่อมโยงไปยังภายนอกด้วย ผมเห็นมาแล้ว โดยเราแยกเป็น 5 กลุ่มอุตสาหกรรมเดิม คือ การเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ท่องเที่ยว อาหารแปรรูป ซึ่งเรามีอยู่แล้ว แต่เราทำให้ทันสมัยขึ้นด้วย มีการขยายกิจการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่อะไรใหม่ ปรับปรุงเครื่องไม้เครื่องมือเครื่องจักรเหล่านี้ รวมกว่า 1,800 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 1 ล้านล้านบาท และ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่เราเรียกว่า New S Curve ได้แก่ ดิจิตอล การแพทย์ ปิโตรเคมี เครื่องจักรอัตโนมัติและหุ่นยนต์ อากาศยานอีกเกือบ 1,500 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 0.3 ล้านล้านบาท เหล่านี้ เป็นต้น อันนี้ก็เป็นการลงทุนเตรียมการเพื่ออนาคต เพื่อรองรับสังคมสูงวัย การขาดแคลนแรงงานในอนาคตด้วย เราต้องทำทั้ง 2 อย่างด้วยกัน เราทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความมีเสถียรภาพทางการเมือง ความสงบเรียบร้อย ปลอดภัยในช่วงที่ผ่านมานี้ และจากการที่เรามีนโยบายที่ชัดเจน มีการบริหารประเทศอย่างมียุทธศาสตร์ จนเกิดความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ต้องการความมั่นใจในการที่จะนำเงินมหาศาลเข้ามาลงทุนในบ้านเรา ซึ่งสิ่งดีๆ เหล่านั้น ความก้าวหน้าต่างๆ เหล่านั้น ผมอยากนำมาเล่าให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ อันนี้ก็ขอให้ฟังทางเราบ้าง เราจะได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของประเทศ และของโลกในอนาคตอย่างรู้เท่าทัน โดยเฉพาะบรรดาเยาวชน นักศึกษา แรงงาน เราจะได้มองเห็นโอกาสงาน และอาชีพของตนในอนาคตด้วย ที่ทำวันนี้อนาคตทั้งสิ้น วันนี้ทำ 2 อย่างคือ 1.อนาคต 2. ดูแลคนในปัจจุบันให้เขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ต้องใช้เวลาหลายๆ อย่าง หลายมาตรการ

สุดท้ายนี้ผมจะกลับมาพูดคุยกับท่านในในเรื่องของประชาธิปไตย ในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นคนไทยคนหนึ่งเช่นกัน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกันในเรื่องเหล่านี้ ที่ผมพูดต่อไปนี้เป็นข้อมูล ผมได้มาจากการอ่านหนังสือเศรษฐกิจดิจิทัล เขียนโดย ดอน แท็ปสก็อต" ซึ่งเป็นนักเขียนที่ได้รับความนิยม เจ้าของหนังสือวิกิโนมิกส์ และโกรวน์ อัพ ดิจิทัล หนังสือเล่มนี้แปลและเรียบเรียง โดย พรศักดิ์ อุรัจฉัทชัยรัตน์ ซึ่งกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ จะผิดจะถูกไปคิดกันไปอ่านกัน ว่า หากเรามองไปรอบๆ ตัวแล้ว หลายประเทศในโลกประสบปัญหาทางการเมืองคล้ายๆ กัน อาจสังเกตได้ว่าปัญหาทางการเมืองใหญ่โตมากขึ้น ตามจำนวนประชากร แล้วเท่าที่เขาติดตามวิเคราะห์มาก็แนวโน้มในการที่ประชาชนจะเลือกจะงดออกเสียง ยังไม่นับกลุ่มคนที่ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อนักการเมือง พรรคการเมืองอะไรก็แล้วแต่ที่ผ่านมา อันนี้ผมพูดถึงนอกประเทศ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาเอง

นี่ผมยกตัวอย่างต่างประเทศให้ฟัง ที่เคยมีผู้ออกไปใช้สิทธิ์เกือบร้อยละ 90 ในปี 1992 ลดลงมาเหลือประมาณ 66 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2012 อาจกล่าวได้ว่า ประชาธิปไตยในรูปแบบของสภาผู้แทนนั้น อาจหมดสมัยไปแล้ว กลายเป็นยุคประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม นี่เขาเขียนมา เป็นคนต่างประเทศ แล้วเป็นประเทศใหญ่ๆ ทั้งสิ้นนั่นแหละ เขาเขียนมา เราเอามาคิดดูซิว่า ควรจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต วันนี้เราจะแก้ไขอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น แต่เป็นการคิดเพื่ออนาคต หลักการที่เขาว่ามามี 5 ประการที่ต้องคำนึงถึง ดังต่อไปนี้

1. ความซื่อสัตย์ เขาวงเล็บไว้ว่าของนักการเมือง นับเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญสุดในการสร้างศรัทธาจากประชาชน โดยการเลือกตั้งนั้นจะต้องโปร่งใส นักการเมืองจะต้องเปิดเผย และยุติธรรม รวมทั้งต้องสื่อสารกับผู้คนด้วยข้อมูลที่เป็นจริง ชัดเจน และเชื่อถือได้ รวมถึงให้ความสำคัญกับความคิดเห็น ใส่ใจกับความรู้สึกของประชาชน และต้องไม่บ่อนทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และจะต้องไม่โจมตีให้ร้ายผู้อื่น ผมพยายามทำตรงนี้อยู่ ผมไม่เคยไปริเริ่มไปให้ร้ายใครก่อนทั้งสิ้นเลย และผมก็จะไม่ไปตอบโต้อะไรกับท่านอีกต่อไป ไม่ว่าจะใครก็ตาม

2. ความรับผิดชอบของประชาชน คือ เราจะต้องไม่สนับสนุนนักการเมืองที่เห็นแก่เงิน หรือใช้เงินในการลงทุนเพื่อเข้าสู่การเมือง และแสวงหาผลประโยชน์ให้ได้ในอนาคต อันนี้ก็ไปแยกกันให้ออก ว่าอะไรคือเรื่องของผลประโยชน์ ผลประโยชน์ส่วนรวม ผลประโยชน์ส่วนตัว เรื่องส่วนรวม เรื่องส่วนตัว ทุจริตโครงการ หรือทุจริตส่วนตัว มันมีกฎหมายทุกตัว ก็ไปว่ากันมา แก้ปัญหากันให้ได้ ผมคิดอย่างนั้น

เรื่องที่ 3. การพึ่งพาอาศัยกัน โดยรัฐบาลที่ดี และมั่นคง จะเกิดจากการที่ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และสังคม ช่วยกันสร้างชุมชนที่แข็งแรง มีกฎเกณฑ์ และมีกฎหมายที่มีคุณภาพ แล้วให้สอดคล้องกับบทบาทขององค์กรภาคเอกชนที่มีมากขึ้น ซึ่งทุกฝ่ายจำเป็นต้องหาแนวทางในการพึ่งพาอาศัย และเกื้อกูลกันในการก้าวไปข้างหน้า อันนี้เราก็มีประชารัฐไง ค่อนข้างจะตรงกับเขาอยู่เหมือนกันตรงนี้

ข้อ 4. คือการเข้าถึงจิตใจประชาชนนักการเมือง และรัฐบาล สามารถแบ่งปันและสร้างความเข้าใจกับประชาชนได้ง่ายขึ้น ผ่านเทคโนโลยี เช่น อินเทอร์เน็ต ซึ่งจะเป็นอีกเครื่องมือช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งในด้านในการใช้งบประมาณ และการกำหนดนโยบายต่างๆ ซึ่งถือเป็นประชาธิปไตยภาคประชาชนนั่นเอง

และข้อ 5. คือความโปร่งใสซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ทั้งยังเป็นแกนกลางที่สร้างความไว้วางใจระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์กร ซึ่งความโปร่งใสนี้ จะต้องใช้ความรับผิดชอบ และความซื่อสัตย์เป็นเครื่องมือสำคัญ อันนี้ก็เป็นที่เขาเขียนมา เราก็ช่วยกันไปคิดแล้วกัน ทุกกลุ่มทุกฝ่ายผมไม่ว่าใครผิดใครถูกหรอก แต่อันนี้เป็นเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลของต่างประเทศ และเป็นหนังสือขายดีอีกด้วย และมีคนไทยแปลออกมา

เรื่องที่ 2 คือ กรณีเศรษฐกิจของประเทศที่ผ่านมา มีหลายท่านไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม นักวิชาการ นักการเมือง สื่อ แล้วก็หลายคนทั้งเจตนาดี เจตนาบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ก็แล้วแต่ อาจจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลในเรื่องของการแก้ปัญหาความยากจน ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ของผู้มีรายได้น้อย ผมอยากเรียนทำความเข้าใจไว้ว่า เราไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ในเวลาอันรวดเร็ว 3 ปี ท่านออกจะบอกว่า เอ๊ะมันตั้ง 3 ปีไปแล้ว แต่ปัญหาเหล่านั้นมันเกิดมาหลายสิบปีบางครั้ง บางเรื่อง เพราะฉะนั้นผมต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นผม คสช. รัฐบาลเลือกตั้ง หรือไม่เลือกตั้ง ต้องช่วยพยายามแก้ไขกันต่อไป เพราะฉะนั้นอะไรที่มันไม่เปลี่ยนแปลง มันก็แก้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะมันแก้เดิมๆไม่ได้แล้วไงปัญหาที่เราเผชิญอยู่ เป็นปัญหาที่เป็นข้อเท็จจริง เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกมายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ มีความแตกต่างกันตั้งแต่ สังคม ฐานะ อาชีพ รายได้ ศักยภาพ ขีดความสามารถ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยมาตรการเฉพาะหน้าแต่เพียงลำพัง สิ่งเหล่านี้เราต้องแก้ปัญหาในหลายด้านไปพร้อมๆ กัน อาจจะต้องใช้เวลาภายใต้กรอบของการเป็นประชาธิปไตยเของเรา ซึ่งเรามีทั้งการค้าเสรี ทุนเสรี พันธสัญญาต่างประเทศ กฎหมายต่างๆ ทั้งในประเทศ และที่เป็นสากล กฎหมายการค้า การลงทุน

สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ประกอบกัน หลายอย่างเป็นปัญหา หลายอย่างไม่เป็นปัญหา แต่มันสั่งสมทับถมมาเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้ช่องว่างระหว่างรายได้ ของคนระดับบน ระดับกลาง ระดับล่าง มันห่างออกมาจากกันเรื่อยๆ เพราะว่าพื้นฐานมันต่างกัน ทรัพย์สินมันต่างกันตั้งแต่แรก แต่ด้วยกลไกของประชาธิปไตย กลไกของการค้าเสรี มันยิ่งทำให้ช่องว่างนี้มันห่างไปเรื่อยๆ เราจะทำอย่างไร ต้องช่วยกันคิด เพราะฉะนั้นโอกาสของทุกคนเลยไม่เท่าเทียมกันไง จะทำยังไงต้องช่วยกันคิด อย่ามัวแต่ติติงกันไปเลย เพราะฉะนั้นท่านที่กรุณาชี้แนะทุกวันตามสื่อต่างๆ กรุณาตอบผมมา หรือช่วยคิดให้ผมหน่อยว่า เราจะลดช่องว่านี้ได้อย่างไร ไม่ใช่เสนอการแก้ปัญหาปลายทางแต่เพียงอย่างเดียว เอาเงินมาให้ตรงนั้นตรงนี้ อยากหนุนราคา แต่ไม่ได้มองว่ามันจะยั่งยืนยังไง หรือจะหาเงินจากที่ไหนที่มันถูกต้อง ที่เป็นไปตามกลไกของโลก ประเทศไทยบางครั้งก็ไม่ใช่ทำแต่เพียงวิธีการของเราอย่างเดียว เพราะมันติดหลายกฎหมาย ทำบางอย่างมันผิดมันถูก ฟ้องก็เดือดร้อนอีกใช่มั้ย รัฐบาล และ คสช. วันนี้พยายามหามาตรการที่เหมาะสมมาดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของเราวันนี้ เราต้องทำอย่างไรให้ทั่วถึง ให้เป็นธรรม อะไรที่มันยังมีปัญหาในพื้นที่ที่มีความยากจนแตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัด 20 กว่าจังหวัดที่มีความแตกต่าง เราจะทำยังไงกับเขา อะไรที่มันเป็นศักยภาพของพื้นที่ที่มันยังด้อยอยู่ เราต้องไปเติมให้เขา นี่เขาเรียกว่างานฟังก์ชั่น เติมทั้งในกลุ่มจังหวัด ในส่วนของภาคลงไป งบประมาณมี 3 ส่วนนำลงไป โดยคิดทั้งสองทาง จากล่างขึ้นบน จากบนลงล่าง แล้วเอาตรงกลางมาเจอกัน อะไรมันเล็ก กลาง ใหญ่ มันจะเชื่อมโยงกันตรงไหน ถ้าไปทำทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะคนที่มีรายได้น้อยเยอะไง มีหลายกลุ่ม โดยเฉพาะภาคการเกษตร ถ้าเราเน้นเกษตรอย่างเดียว อย่างอื่นก็ไปไม่ได้อีก เงินในการจะลงทุนทำถนนหนทาง พัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาแหล่งน้ำ มันก็ไม่มีไง

เพราะฉะนั้นถ้าเราไปโปะในเรื่องของราคาสินค้าแต่เพียงอย่างเดียว อย่างอื่นไปไม่ได้ มันก็เหมือนเดิม พอเงินหมดมันก็หมดไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นมันก็ต้องแบ่งสรรปันส่วนกันให้ดี เราจะรวมกลุ่มกันได้ไหม รวมการเกษตรจะทำกันอย่างไร ไปหาต้นทาง กลางทาง ปลายทางกันอย่างไรทั้งผลิต ทั้งแปรรูป ทั้งการตลาด วันนี้ก็พยายามทำอยู่ทุกอย่าง ตลาดประชารัฐก็เกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ผมจะเป็นตลาด 5 ดาว ของประเทศไทยแล้วกัน เป็น 6 ดาว ทุกจังหวัดก็ต้องคัดมาขายที่นี่ เพื่อเป็นโครงการนำร่องไปสู่การเป็นตลาดสุขภาพ เป็นตลาดโอทอปทั้ง 6 ดาว 7 ดาว 8 ดาวกันต่อไป ที่เหลือก็ไปขายในตลาดประชารัฐโน่น อันนี้ก็ขอให้ช่วยกันคิดต่อไป

เพราะฉะนั้นวันนี้เราต้องพัฒนาประเทศ โดยคำนึงถึงศักยภาพของแต่ละพื้นที่ ดีมานด์ไซส์ ซัพพลายไซส์ ไปจนถึงความต้องการของพื้นที่แอเรียเรทต่างๆ พูดกันมาเยอะแล้วไอ้ 3 4 คำเนี่ย ทำให้มันได้จริงๆ ก็แล้วกัน ให้เป็นไปตามความต้องการ ขีดความสามารถของประชาชนที่มีความแตกต่างกัน ทั้งพื้นฐาน ทั้งการศึกษา ทั้งความคิด อะไรต่างๆ เหล่านี้ ผมถึงบอกว่าเราต้องสร้างสังคมเมืองขึ้นมาในชนบทบ้าง ไม่ได้หมายความว่าผมจะไปย้ายคนมาอยู่ในเมืองทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้ เราก็ไปสร้างสังคมเมืองในชนบทอื่น สังคมที่มีการติดต่อสื่อสาร มีการพูดคุย มีการพบปะ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำอาชีพเกษตร แล้วห่างไกลกันจนไม่เจอกันเลย บางทีไม่เจอกันหรอกครับ เพราะมันไกลกันมาก มันไปไม่ได้ บ้านช่องก็ไม่มีการพัฒนา น้ำประปาก็ไม่ได้ใช้ นั่นแหละครับคนเหล่านั้นแตกต่างยิ่งกว่าอีก บางคนไม่มีที่ดินทำกิน ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาลงทุน ลงทุนเสร็จไม่ได้อะไร เพราะต้องไปใช้หนี้เขาหมดไง วันหน้าก็ไปกู้เขาใหม่ มันก็เป็นหนี้อยู่อย่างนี้ จนแก่จนเฒ่า จนตาย ลูกหลานก็เป็นแบบเดิม แล้วอีกหน่อยลูกหลานก็ไม่อยากทำการเกษตร แล้วทำไง ใครจะทำการเกษตรให้เรารับประทาน ทำสินค้าเกษตรให้เราไปขาย ประเทศไทยจะยิ่งกว่านี้

เพราะฉะนั้นก็ต้องแบ่งสันปันส่วนกันให้ดีว่า เราจะทำอย่างไรในการบริหารราชการแผ่นดิน ในการใช้จ่ายงบประมาณ ในการการสร้างวิธีคิด สร้างหลักคิด การศึกษาจะเป็นสิ่งที่ช่วยเหล่านี้ได้มาก และเร็วที่สุด ฝากกระทรวงศึกษาธิการด้วย ต้องคิดให้คนคิดแบบนี้ว่าเราจะอยู่กันยังไงในวันหน้าไม่ใช่สอนให้คนจบปริญญาแต่เพียงอย่างเดียว สอนให้เขาคิดว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ผมคิดว่าทุกประเทศเขาแก้ด้วยการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เป็นระบอบประชาธิปไตย เขาไม่รู้จะแก้ด้วยวิธีไหนอย่างไร อยากที่บอกไปแล้ว หนังสือเขาก็เขียนไว้ เพราะมันเป็นประชาธิปไตยไง มันเป็นการค้าเสรี มันก็ต้องแก้ด้วยการศึกษา ให้ทุกคนได้มีสติปัญญาในการแก้ปัญหาของตัวเอง แล้วรัฐบาลก็ลงไปช่วยให้ตรงกับความต้องการ ปัญหาเหล่านี้มันเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทุกประเทศ ผมอ่านหนังสือเหมือนกัน เขาบอกว่า ประเทศก่อนที่จะเป็นประชาธิปไตย มันมีการปกครองมาหลายๆ รูปแบบ พอเปลี่ยนมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทุกอย่างต้นทุนมันต่างกันตั้งแต่ตอนนั้น พื้นฐานมันต่างกัน พอเป็นประชาธิปไตยทุกคนก็มีสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินอะไรต่างๆ เหล่านี้ เพราะฉะนั้นหลายคนมีมาก หลายคนมีน้อย หลายคนก็ไม่มี การเป็นเจ้าของที่ดินเดิม สินทรัพย์ประเดิมช่วงแรก การเปลี่ยนแปลงมันต่างไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ต่อมาเมื่อมีการค้าเสรี มีช่องทางมีโอกาส มีทุนมากโอกาสมาก รายได้มากขึ้น

เพราะฉะนั้นทำให้ช่องว่างมันถ่างออกไปเรื่อยๆ มีการซื้อขายที่ดิน ถูกยึดที่ดิน การค้าขายเสรี การลงทุน มันมีการเพิ่มสินทรัพย์มากยิ่งขึ้น คนที่มีมากอยู่แล้วเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ทีนี้จะทำยังไงล่ะมันเป็นการค้าเสรี ถ้ามันถูกกฎหมายมันทำอะไรไม่ได้มากนัก รัฐบาลต้องมาทำยังไง รัฐบาลต้องหาวิธีการสร้างสมดุลให้ได้ โดยเรารังแกใครไม่ได้ทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องของกฎหมาย ผู้ที่เขาทำธุรกิจได้ดี มีทุนประเดิมมาก มีทุนมากขึ้น สินทรัพย์เพิ่มขึ้น กำไรมากขึ้น ในที่สุดแล้ว คนไม่มีสินทรัพย์ก็กลายมาเป็นแรงงาน เป็นพนักงาน ลูกจ้างแต่เพียงอย่างเดียว และได้เงินแต่เพียงค่าจ้าง สินทรัพย์ไม่มีวันเพิ่มขึ้น

เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าเราไปดูสัดส่วนการตอบแทนผลประโยชน์ อาจจะกระจุกอยู่กับคนที่มีรายได้สูงมากกว่าระดับล่าง รายได้ต่ำซึ่งเป็นระดับแรงงาน พนักงานลูกจ้าง รายได้สูง อันนี้เป็นไปตามกลไกของประชาธิปไตย และการค้าเสรี เราไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นเศรษฐกิจเกือบทุกประเทศในโลก รวมถึงประเทศไทยผูกติดไว้กับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นส่วนน้อย

ถ้าพูดถึงว่ามั่งมีที่สุดก็เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ถ้าถือว่าอยู่ในเกณฑ์มั่งมีก็ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งประเทศ ที่เหลือ 80-90 เปอร์เซ็นต์ อยู่ปานกลางทั้งนั้น และรายได้เป็นส่วนใหญ่ 60-70 เปอร์เซ็นต์ รายได้น้อย ปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้ มันก็เป็นผลมาจากส่วนแบ่งของผลประโยชน์จากการประกอบการของธุรกิจ ส่วนใหญ่จะอยู่ในมือเจ้าของที่ เจ้าของทรัพย์สิน เจ้าของเงินทุนต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งถ้าเขาได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมาย จะไปบังคับเอาคืนมันก็ลำบาก

คนเหล่านี้เขามองว่า เขาแบกรับความเสี่ยงอยู่ในการลงทุน อาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็แล้วแต่ หรืออาจด้วยวิธีการบริหารจัดการทางธุรกิจ มันทำให้เขาสามารถที่จะรวบรวมหลายอย่างเข้ามาอยู่กับเขาได้ เพราะฉะนั้นตามหลักการธุรกิจวันนี้เขาก็คิดว่า เขาคิดว่าควรได้ส่วนแบ่งจากกำไรมากที่สุด เพราะเขาเป็นผู้ที่เสียงมากที่สุดเป็นผู้ลงทุนไง เหมือนกำไรส่วนที่ถูกแบ่งลงมา มาสู่ลูกจ้าง มาสู่พนักงาน แรงงานต่างๆ ข้างล่าง มันก็อาจจะมีสัดส่วนที่น้อยกว่า เช่น ข้างบนเอาไปสัก 35 เปอร์เซ็นต์ ข้างล่าง 65 แต่ข้างบน 35 มีคนส่วนน้อย คือเจ้าของกิจการ หรือระดับผู้บริหารในข้างบน หรือผู้ถือหุ้นอะไรก็แล้วแต่ ข้างล่าง 65 มาแบ่งกันเท่าไรไม่รู้ ตั้งแต่ผู้ผลิตขั้นต้น ผู้ปลูก เกษตรกร แรงงาน พนักงาน ลูกจ้าง คนตรงนี้จำนวนมาก เพราะฉะนั้นส่วนแบ่ง 65 เปอร์เซ็นต์ หารออกมาแล้วมันน้อยกว่าข้างบน นั่นล่ะ นี่คือการค้าเสรี เราจะทำยังไงล่ะ สิ่งเหล่านี้เราก็ต้องมาหาแนวทาง มาร่วมกันพิจารณาว่าจะทำกันอย่างไรในการแบ่งปันตรงนี้ให้กระจายลงไปสู่คนหมู่มากให้ได้ ก็คือเรื่องของการกระจายรายได้ที่มันเป็นปัญหาในระบอบการประกอบการธุรกิจ การค้าเสรี เราต้องสร้างห่วงโซ่ใหม่ ให้ห่วงโซ่เดิมมาดูแลให้มากขึ้น แบ่งสัดส่วนให้มากขึ้น สร้างห่วงโซ่ใหม่ให้ผู้มีรายได้น้อย ว่าจะทำยังไงให้เขามีทุน มีการประกอบการของเขาเองขึ้นมา ผู้ประกอบการรายใหม่ก็ไม่มีทางอื่น นอกจากเรื่องของการรวมกลุ่มสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน เพราะเขาไม่มีทุนไง รัฐบาลก็ไปส่งเสริมทุนให้ตรงนั้น เขาจะได้ไปเพิ่มการประกอบการให้มากขึ้น ครบทั้งวงจร แต่มันก็เป็นเสี้ยวหนึ่ง ส่วนหนึ่ง ของการประกอบการขนาดใหญ่ วันหน้าพอเข้มแข็งขึ้น มันก็จะเป็นสองทางขึ้นไปข้างบน อันนี้ก็คงจะต้องเร่งให้การเรียนรู้ให้กับภาคประชาชนไปด้วย เกษตรกรไปด้วย ให้เรียนรู้อีกมากมาย เรื่องกฎระเบียบ กฎหมายการค้าเสรี บางทีเราปลูกพืชอย่างเดียว ไม่รู้เรื่องการค้าเลย มันก็ผลิตมากเกินไป น้อยเกินไป ไม่ตรงความต้องการ ปลูกในสิ่งที่อยากจะปลูก ขายไม่ออก อะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้นต้องรู้ทั้งหมด

วันนี้ถึงอยากจะบอกให้ภาคการเกษตรให้เรียนรู้ให้มากยิ่งขึ้น แล้วก็อาศัยเทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาเสริม ในโทรศัพท์เปิดดูนะครับ เรื่องการใช้น้ำ การปลูกพืช พันธุ์พืช การแก้ไขแมลง เชื้อโรคอะไรต่างๆ มันมีให้หมด ถ้าท่านยังทำแบบเดิม มันก็แบบเดิม ใช้สารเคมีแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนเดิมๆ มาตลอด ตั้งแต่พ่อแม่มาจนกระทั่งถึงลูกหลานยี่ห้อเดียว ยี่ห้อเดิม มันไม่มีอะไรที่มันจะดีขึ้นได้เลย 3 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ อาจจะติดอยู่บ้าง บางกลุ่ม บางพวกที่เขาก็มองต่างไปจากเรา ต่างจากหนังสือที่ผมเขียน ต่างจากหลักวิชาการที่เขาเรียน เขาก็คิดแต่เพียงว่าการเพิ่มรายได้โดยเงินงบประมาณของภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียวมันจะทำให้แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราต้องทำอย่างอื่นไปด้วย เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก กิจกรรมตั้งหลายกิจกรรม ก็อาจจะเป็นเพราะความไม่เข้าใจในกลไกของระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง กรุณาศึกษาดูบ้าง ผมก็พยายามจะเรียนรู้ ทุกคนก็ต้องช่วยกันเรียนรู้ไว้บ้าง คนเก่งๆ เขาก็มาช่วยคิดช่วยทำ อย่าติติงแต่เพียงอย่างเดียว อย่ามองว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของการเมือง เรื่องของการแข่งขัน การด้อยค่า การสร้างราคา ผมว่าไม่เกิดประโยชน์กับประเทศไทยเวลานี้เลย เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาง่ายๆที่ทุกคนพอใจมันง่าย ผมก็ทำได้ ให้ทุกคนพอใจ ไม่ต้องมาว่าผม ไม่ว่ารัฐบาล ไม่ว่า คสช. แต่นั่นแหละครับเหมือนเป็นการให้ยาพิษกับประเทศไปเรื่อยๆ สั่งสมนานไปเรื่อยๆ ปัญหายิ่งถมทับมากไปกว่าเดิม คนมากขึ้น ประชากรมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำมากขึ้น การกระจายรายได้ทำไม่ได้ และทุกคนก็ไม่มีความคิดที่จะพัฒนาตนเอง มีแต่ความต้องการ ไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนาศักยภาพตัวเองให้ดีขึ้นเท่าที่ควร มันจะยิ่งสร้างความขัดแย้ง สร้างผลกระทบกับศักยภาพของประเทศ และมีผลเสียหายร้ายแรงต่อการพัฒนาประเทศในระบอบประชาธิปไตยในระยะยาวด้วย

ด้วยเหตุแห่งปัญหาเหล่านี้ ผมจต้องการให้เรารับทราบร่วมกันว่าทำไมรัฐบาลและ คสช. จึงพยายามจะทำให้ทุกคนมากกว่าความพอใจเพียงชั่วคราว โดยเราไม่สามารถจะทุ่มงบประมาณลงไป แก้ปัญหาแบบเดิมๆ ที่ทำมาแต่เพียงอย่างเดียวนั้น เราทำไม่ได้แล้ว เราต้องให้ความสำคัญกับการวางรากฐาน การวางโครงสร้าง ที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้ของพี่น้องประชาชนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

1. การสร้างความเข้มแข็งให้กับพี่น้องเกษตรกรและชุมชน ส่งเสริมให้มีความรู้ในเรื่องที่ทำอยู่ในปัจจุบัน มีข้อมูลในการตัดสินใจ ยกระดับเป็น smart farmer พึ่งพาตัวเองได้ และผลิตสินค้ามีคุณภาพ ทำเกษตรแปลงใหญ่ มีเกษตรกรเป็นศูนย์กลาง มีภาครัฐสนับสนุน กลุ่มเกษตรกรมีการบริหารจัดการร่วมกัน จัดหาปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ ราคาที่เป็นธรรม ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนการจัดการด้านการตลาด การส่งเสริมสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตที่เฉพาะเจาะจง รวมถึงการใช้กลไกการดำเนินงานของบริษัทประชารัฐรักสามัคคี เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน

เห็นไหมเยอะไปหมดเลย เฉพาะข้อเดียวนี่ก็แย่อยู่แล้ว ถ้าทุกคนมัวติติง ไม่ได้ทำสักอัน มันจะไปได้ยังไง

2. การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เช่น การพัฒนาเกษตรสมัยใหม่ การยกระดับนวัตกรรมและผลิตภาพ การส่งเสริม SMEs ทั้งในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพและการถ่ายทอดทักษะการบริหารจัดการจากบริษัทขนาดใหญ่ ในโครงการพี่ช่วยน้อง ดึงดูดการลงทุน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต และการขนส่ง

3. สร้างโอกาสให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการรายเล็ก ผ่านโครงการตลาดชุมชนในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกษตรกรมีช่องทางในการเชื่อมโยงกับธุรกิจ เช่น ตลาดประชารัฐ ตลาดชุมชนเพื่อธุรกิจท้องถิ่น รวมถึงการส่งเสริม SMEs และ Startups เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าสู่ตลาดต่างประเทศได้ดีขึ้น
การพัฒนาศักยภาพของสินค้า OTOP การพัฒนา e-Commerce เป็นช่องทางขยายตลาดของเกษตรกรและ SMEs

ตัวอย่างมาตรการเหล่านี้ เรามุ่งจะแก้ปัญหาด้านโครงสร้างที่สั่งสมมานาน ลดการพอกพูนปัญหาเดิม ๆ เราต้องไม่ลืมว่า เมื่อประชากรมากขึ้น ทรัพยากรมีน้อยลง โอกาสทุกคนก็ลดลงไปด้วย เพราะประชาชนยากจน ไม่มีสินทรัพย์ ไม่มีทุน ก็ไม่มีช่องว่างให้เข้าถึงโอกาส เพื่อจะสร้างความเข้มแข็ง

ขณะเดียวกัน ระบบทุนเสรี การค้าเสรี เข้มแข็งขึ้นตามลำดับ เป็นการพัฒนาแบบตะวันตก เจริญเติบโตเร็ว แต่อาจจะไม่ยั่งยืน ปัญหาหลายปัญหาถมทับมา ทำให้ปัญหารุนแรงมากยิ่งขึ้น

เพราะฉะนั้นในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่า จากสถิติหลายปีที่ผ่านมา โดยหน่วยราชการเขาทำมาหมดแล้ว มีหน่วยงานที่สำรวจมาทุกปี จะเห็นได้ว่าจำนวนคนยากจนของประเทศไทยลดน้อยลงมากในแต่ละปี แต่ก็ไม่มีวันหมดสิ้นหรอก คนเก่าหมดไป คนใหม่ก็เข้ามาทดแทน เพราะฉะนั้นทุกฝ่ายต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน และทำอย่างไรมันจะยั่งยืน ต้องแก้ปัญหาจากต้นตอ การสร้างการเรียนรู้ รับรู้ถึงแนวทางที่ถูกที่ควร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล คสช. หรือนายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง ผู้นำพรรคการเมืองอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ ต้องช่วยกัน ระบอบประชาธิปไตย ระบบการค้าเสรี ท่านเกี่ยวข้องกับมันทั้งหมดนั่นล่ะ ระบบเหล่านี้ หรือระบอบเหล่านี้ จะเป็นระบอบที่ทุกคนคิดว่าดีที่สุด แน่นอนในปัจจุบันทุกคนในโลกนี้ได้ยึดถือมาใช้ คือเรื่องระบอบประชาธิปไตย ทุนเสรี ค้าเสรี แต่หลายอย่างเมื่อมันมีดี ก็ต้องมีไม่ดี เราจะมีมาตรการป้องกัน/ลดความเสี่ยงเหล่านี้อย่างไร ในเรื่องของการลดผลกระทบข้างเคียงไปด้วย เพราะเราตัดสินใจไปแล้วว่าเราจะเป็นประชาธิปไตย เราก็จะต้องแก้ปัญหาด้วยประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมกันให้มากยิ่งขึ้น ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ อย่าโทษกันไปกันมา จะผิด/จะถูกกฎหมายว่าไงก็จบกันตรงโน้น ตรงนี้ก็ต้องเดินหน้าประเทศ วันนี้ผมอยากฟัง ปีหน้าขออย่างเดียวของขวัญปีใหม่ให้ผม ทุกคนพูดในเชิงสร้างสรรค์ ก็แค่นั้นล่ะ ผมไม่ต้องการอะไรอย่างอื่น

ถ้าไม่ทำวันนี้ วันหน้าใครจะเป็นรัฐบาลก็ยังไม่รู้ ถ้าท่านได้เป็น ก็ต้องเจอปัญหาเหล่านี้อยู่ดี แล้วท่านจะกลับไปทำแบบเดิมเหรอ ผมคิดว่าประชาชนไม่ยอมหรอกในการที่จะใช้งบประมาณแบบเดิม มันทำไม่ได้แล้ว หลายอย่างกฎหมายก็แก้ไขปรับปรุงไปแล้ว ไม่ได้ปิดกั้นท่าน เพียงแต่ต้องทำให้มันถูกต้องเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเราไม่ควรกลับมาทำในสิ่งที่มันผิดพลาดไปแล้วอีก อย่าให้การเกษตรของเรากลับไปเป็นปัญหาการเมืองอีกต่อไป เพราะประชาชนเป็นผู้เดือดร้อน นักการเมือง พรรคการเมืองก็เดือดร้อน เดือดร้อนกันทั้งคู่ ฉะนั้นอย่ามาอ้างกันว่าประชาชนยากจน รายได้ไม่เพียงพอ แต่ไม่เสนอแนะ หรือไม่หาวิธีการแก้ไข โดยแก้ไขแบบเดิมๆ ผมว่าน่าสงสาร น่าสงสารประเทศไทย สงสารประชาชนกันบ้างนะ

วันนี้ผมจอฝากให้ช่วยกันใช้ความคิดว่า มีสิ่งใดบ้างที่จะมาช่วยแก้ปัญหา ดีกว่าจะให้เป็นดินพอกหางหมู ทำเหล่านี้ให้รวดเร็วขึ้น หลายประเด็นต้องนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ มีปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นตามมา มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน โลกยุคโลกาภิวัตน์ เป็นพลวัตร เรื่องรัฐสวัสดิการ จะทำอย่างไรให้เหมาะสม เรื่องกองทุนการออมอะไรเหล่านี้ ต้องมาดูทั้งหมด มันต้องสร้างระบบขึ้นมาเพื่อจะทดแทนระบบเดิมๆ มันอาจจะไม่สมบูรณ์ เราต้องช่วยกัน ใช้วิชาการมาช่วยด้วย อ่านหนังสือตำรับตำรา แล้วเอามาคิดว่า ตำราเขามีไว้ให้สร้างแนวความคิด สร้างหลักคิดขึ้นมาเท่านั้นเอง มันจะทำได้/ไม่ได้ ถ้าเรามีหลักการคิดแล้วมาหาวิธีการ ก็เป็นอีกเรื่อง ที่ผมใช้คำว่า How to do หลักการดีอยู่แล้ว แต่ไม่มี how to do ต้องมาช่วยกันคิดตรงนี้

ฝากทุกท่านที่จะเข้าสู่การเมืองช่วยกันคิดด้วยกับรัฐบาลในเวลานี้ เราจะบริหารทรัพยากรให้เป็นประโยชน์ให้เป็นธรรมได้อย่างไร ระบบภาษีจะทำอย่างไร ไม่ได้หมายความว่าจะทำวันนี้ ก็ไปหาวิธีการว่าวันนี้ วันหน้า หรือวันไหน ผมไม่รู้ จะทำกันอย่างไร ถ้าปล่อยอยู่แบบนี้มันก็ไปไม่ได้อยู่ดี การเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน การค้า การปรับกฎหมาย กฎระเบียบ การสนับสนุนลงทุน ฯลฯ เพราะทุกอย่างมันต้องมีคนได้คนเสีย

แต่ถ้าเราไม่ปรับมันก็จะเสียทั้งหมดในอนาคต มันจะเสียไปด้วยกันทั้งหมด ถ้าปรับวันนี้มันมีส่วนเสียน้อย คนได้เยอะ มันก็ต้องจำเป็น แต่วันหน้าถ้าไม่เปลี่ยนเลย ไม่แก้ไขเลย มันก็จะเสียไปทั้งหมด แล้วเราก็จะล้มเหลวไปทั้งประเทศ เราต้องช่วยกันประคับประคอง ช่วยกันสร้างประชาธิปไตยของเราให้มั่นคงยั่งยืน อย่างมีส่วนร่วม ช่วยกันแก้ปัญหา ช่วยกันแกะ อย่าได้ช่วยกันเกาอย่างเดียว แล้วไม่แกะ เกาโน่นเกานี่ มันไม่หายหรอก แผลก็เป็นสะเก็ดไปเรื่อย อย่าไปช่วบกันผูกเงื่อนรัดคอกันอีกต่อไปเลย

ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ให้ทุกคน ทุกครอบครัวได้มีการวางแผนการพักผ่อน เตรียมรถเตรียมอะไรต่างๆ ให้เรียบร้อยก็แล้วกัน เพื่อไปสู่การท่องเที่ยวในช่วงวันปีใหม่ให้มีความสุข และปลอดภัยทุกคน นึกถึงตัวเอง นึกถึงครอบครัว นึกถึงคนอื่น ทุกอย่างก็จะปลอดภัยเอง ขับรถขับราระมัดระวัง คงต้องเตือนกันทุกวันต่อไปนี้ ก่อนจะถึงปีใหม่ ขอบคุณนะครับ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น