นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานกรรมการบริหารกิจการ (บอร์ด) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการจัดซื้อ ซึ่งมีนางพนิดา ทองสุข รักษาการรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร ขสมก. เป็นประธาน ได้ร่วมประชุมกับคณะกรรมการคุณธรรม เพื่อหารือเกี่ยวกับร่างเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) โครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) 489 คันนั้น ทางคณะกรรมการคุณธรรมได้ขอให้ ขสมก. กลับไปจัดทำข้อมูลให้รอบคอบและนำกลับมาประชุมร่วมกันอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ และคาดว่า ขสมก.จะเปิดให้เอกชนเข้ามายื่นข้อเสนอประกวดราคาได้ภายในสัปดาห์หน้า
นายณัฐชาติ กล่าวต่อว่า ขสมก.ได้เสนอแนวทางการปรับปรุงร่างทีโออาร์ใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ ประเด็นการส่งมอบรถเมล์ที่ขยายเวลาให้นานขึ้น จากเดิมกำหนดไว้ที่ 120 วัน เพื่อลดข้อกังวลของเอกชนในเรื่องดังกล่าว ควบคู่ไปกับการปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าโครงการ จากเดิมที่กำหนดไว้ว่า ขสมก.จะจ่ายเงินค่าจัดซื้อรถเมล์เมื่อเอกชนส่งมอบรถเมล์ทั้งหมดให้ครบตามจำนวน 489 คัน โดยเงื่อนไขใหม่จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบการจ่ายเงินให้ทันทีตามจำนวนรถเมล์ที่ส่งมอบกันเป็นล็อตไป แต่จะหักเงินต้นไว้ร้อยละ 30 เพื่อเป็นเงินค่ามัดจำหากเอกชนไม่สามารถส่งมอบรถได้ตามสัญญาก่อนที่จะคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้เมื่อส่งมอบรถแล้วเสร็จทั้ง 489 คัน เช่น การส่งมอบรถเมล์ล็อตแรก 100 คัน มูลค่า 300 ล้านบาท ขสมก.จะจ่ายเงินให้เอกชน 210 ล้านบาท และหักมัดจำไว้ 30 ล้านบาท
สำหรับการผ่อนคลายเงื่อนไขในทีโออาร์ฉบับใหม่ดังกล่าวเชื่อว่าจะเป็นการสร้างความมั่นใจและลดข้อกังวลของเอกชนในการเข้าร่วมประกวดราคาโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 489 คันรอบใหม่นี้ ทั้งนี้ มั่นใจว่าจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากภาคเอกชนแน่นอน เนื่องจากช่วยสนับสนุนให้เอกชนมีสภาพคล่องที่ดีขึ้นหากสามารถรับมอบเงินค่ารถเมล์ได้เลยเมื่อส่งมอบแล้ว
นายณัฐชาติ กล่าวต่อว่า ขสมก.ได้เสนอแนวทางการปรับปรุงร่างทีโออาร์ใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ ประเด็นการส่งมอบรถเมล์ที่ขยายเวลาให้นานขึ้น จากเดิมกำหนดไว้ที่ 120 วัน เพื่อลดข้อกังวลของเอกชนในเรื่องดังกล่าว ควบคู่ไปกับการปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าโครงการ จากเดิมที่กำหนดไว้ว่า ขสมก.จะจ่ายเงินค่าจัดซื้อรถเมล์เมื่อเอกชนส่งมอบรถเมล์ทั้งหมดให้ครบตามจำนวน 489 คัน โดยเงื่อนไขใหม่จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบการจ่ายเงินให้ทันทีตามจำนวนรถเมล์ที่ส่งมอบกันเป็นล็อตไป แต่จะหักเงินต้นไว้ร้อยละ 30 เพื่อเป็นเงินค่ามัดจำหากเอกชนไม่สามารถส่งมอบรถได้ตามสัญญาก่อนที่จะคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้เมื่อส่งมอบรถแล้วเสร็จทั้ง 489 คัน เช่น การส่งมอบรถเมล์ล็อตแรก 100 คัน มูลค่า 300 ล้านบาท ขสมก.จะจ่ายเงินให้เอกชน 210 ล้านบาท และหักมัดจำไว้ 30 ล้านบาท
สำหรับการผ่อนคลายเงื่อนไขในทีโออาร์ฉบับใหม่ดังกล่าวเชื่อว่าจะเป็นการสร้างความมั่นใจและลดข้อกังวลของเอกชนในการเข้าร่วมประกวดราคาโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 489 คันรอบใหม่นี้ ทั้งนี้ มั่นใจว่าจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากภาคเอกชนแน่นอน เนื่องจากช่วยสนับสนุนให้เอกชนมีสภาพคล่องที่ดีขึ้นหากสามารถรับมอบเงินค่ารถเมล์ได้เลยเมื่อส่งมอบแล้ว