ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. วันนี้ (9 พ.ย.) มีการพิจารณาร่างความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง (The ASEAN-Hong Kong Free Trade Agreement : AHKFTA) และร่างความตกลงด้านการลงทุนของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กับรัฐบาลของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ซึ่งเป็นตามกรอบของรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 ที่กำหนดให้การทำหนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงว่า ร่างความตกลงการค้าดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ฮ่องกงได้เสนอเรื่องขอเข้าร่วมความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน มายังสำนักงานเลขาธิการอาเซียน ในการประชุมผู้นำอาเซียน-จีน เมื่อปี 2554 และในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนปี 2556 ที่ประชุมมีมติให้มีการทำความตกลงการค้าเสรีกับฮ่องกง แทนการรับฮ่องกงเข้าเป็นภาคี ดังนั้น จึงเกิดการเจรจาเกี่ยวกับความตกลงเรื่อยมาจนนำมาสู่ร่างความตกลงที่แยกออกเป็น 2 ฉบับดังกล่าว มีเนื้อหาครอบคุลมการค้าสินค้า บริการ การลงทุน การเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกต่อการค้าสินค้าระหว่างภาคีด้วยกัน ภายใต้กรอบความตกลงองค์การการค้าโลก เช่น ยกเลิกอุปสรรคทางภาษีศุลกากรและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกให้เกิดความรวมตัวทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งมีความสอดคล้องกันในอาเซียน 237 รายการ รวมถึงการยกระดับความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ เสริมสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกลุ่มภาคีที่เกี่ยวข้องกับการมาตรฐาน การตรวจสอบและรับรอง โดยยืนยันว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมพิจารณาความตกลงดังกล่าวอย่างรอบคอบแล้ว รวมทั้งผ่านการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งหากไทยไม่ทำความตกลงดังกล่าวจะเสียโอกาสในการใช้ฮ่องกง ซึ่งมีความสามารถในการค้าการแข่งขันไปสู่การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ สมาชิก สนช. ได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเห็นว่าร่างความตกลงนี้จะครอบคลุมการเปิดตลาดทั้ง 4 ด้านสำคัญ คือ ด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ และด้านการลงทุน เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ถึงผลประโยชน์ดังกล่าว
ภายหลังการอภิปราย ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ไทยทำความตกลงดังกล่าวด้วยคะแนน 181 ต่อ 2 เสียง และงดออกเสียง 10 เสียง
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงว่า ร่างความตกลงการค้าดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ฮ่องกงได้เสนอเรื่องขอเข้าร่วมความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน มายังสำนักงานเลขาธิการอาเซียน ในการประชุมผู้นำอาเซียน-จีน เมื่อปี 2554 และในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนปี 2556 ที่ประชุมมีมติให้มีการทำความตกลงการค้าเสรีกับฮ่องกง แทนการรับฮ่องกงเข้าเป็นภาคี ดังนั้น จึงเกิดการเจรจาเกี่ยวกับความตกลงเรื่อยมาจนนำมาสู่ร่างความตกลงที่แยกออกเป็น 2 ฉบับดังกล่าว มีเนื้อหาครอบคุลมการค้าสินค้า บริการ การลงทุน การเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกต่อการค้าสินค้าระหว่างภาคีด้วยกัน ภายใต้กรอบความตกลงองค์การการค้าโลก เช่น ยกเลิกอุปสรรคทางภาษีศุลกากรและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกให้เกิดความรวมตัวทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งมีความสอดคล้องกันในอาเซียน 237 รายการ รวมถึงการยกระดับความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ เสริมสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกลุ่มภาคีที่เกี่ยวข้องกับการมาตรฐาน การตรวจสอบและรับรอง โดยยืนยันว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมพิจารณาความตกลงดังกล่าวอย่างรอบคอบแล้ว รวมทั้งผ่านการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งหากไทยไม่ทำความตกลงดังกล่าวจะเสียโอกาสในการใช้ฮ่องกง ซึ่งมีความสามารถในการค้าการแข่งขันไปสู่การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ สมาชิก สนช. ได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเห็นว่าร่างความตกลงนี้จะครอบคลุมการเปิดตลาดทั้ง 4 ด้านสำคัญ คือ ด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ และด้านการลงทุน เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ถึงผลประโยชน์ดังกล่าว
ภายหลังการอภิปราย ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ไทยทำความตกลงดังกล่าวด้วยคะแนน 181 ต่อ 2 เสียง และงดออกเสียง 10 เสียง