นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนเห็นข่าวการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ซึ่งปรากฏภาพกรรมการคนหนึ่งรวมอยู่ด้วย คือนายธานิศ เกศวพิทักษ์ ทำให้สะดุดใจว่านายธานิศ เป็นหนึ่งในองค์คณะคดีหนึ่งตามประกาศศาลฎีกามาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558 ซึ่งกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (เดิม) มาตรา 13 ห้ามมิให้มีคำสั่งให้ผู้พิพากษาในองค์คณะไปทำงานที่อื่นนอกศาลฎีกาบังคับไว้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลแบบสืบสวนเจาะลึก จึงพบ 2 ประเด็นตามมา โดยประเด็นแรก การตั้งนายธานิศ เป็นกรรมการปฏิรูปตำรวจนั้น คณะรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และนายกรัฐมนตรีจึงได้มีประกาศแต่งตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีต่อมา จึงมีเหตุต้องร้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบว่าการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งนายธานิศ นั้น เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 13 หรือไม่ และจะเข้าข่ายมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 123/1 หรือไม
ประเด็นที่สอง ได้ตรวจสอบเจาะลึกย้อนไปถึงการแต่งตั้งกรรมการกฤษฎีกาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 พบว่า มีชื่อนายชีพ จุลมนต์ และนายธานิศ เป็นกรรมการกฤษฎีกาอยู่ด้วย ซึ่งทั้งสองคนเป็นองค์คณะในคดีหนึ่งมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558
ดังนั้น จึงมีเหตุต้องร้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบว่า การที่นายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งนายชีพ และนายธานิศ เป็นกรรมการกฤษฎีกา ในขณะที่ทั้งสองคนเป็นองค์คณะในคดีนั้น เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา 13 หรือไม่ และจะเข้าข่ายมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 123/1 หรือไม่
ทั้งนี้ ทั้งกรรมการกฤษฎีกา และกรรมการปฏิรูปตำรวจเป็นหน่วยงานอื่นที่อยู่นอกศาลฎีกาอย่างชัดเจน แต่ต้องรอดูว่า พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา จะยังคงมีบทบัญญัติห้ามไว้หรือไม่ ซึ่งพบว่าในบทบัญญัติมาตรา 11 วรรคสี่ ของกฎหมายใหม่ ก็ยังคงบัญญัติห้ามมิให้มีคำสั่งให้ผู้พิพากษาในองค์คณะไปทำงานที่อื่นนอกศาลฎีกา เช่นเดียวกับที่กฎหมายเดิมห้ามไว้ ด้วยเหตุนี้ จึงจะนำข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่พบไปยื่นหนังสือด้วยตนเอง เพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการกระทำของนายกรัฐมนตรี และ/หรือ คณะรัฐมนตรี ในกรณีที่มีคำสั่งตั้งทั้งสองคนไปทำงานที่อื่นนอกศาลฎีกาดังกล่าวในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ เวลา 10.00 น. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ
ประเด็นที่สอง ได้ตรวจสอบเจาะลึกย้อนไปถึงการแต่งตั้งกรรมการกฤษฎีกาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 พบว่า มีชื่อนายชีพ จุลมนต์ และนายธานิศ เป็นกรรมการกฤษฎีกาอยู่ด้วย ซึ่งทั้งสองคนเป็นองค์คณะในคดีหนึ่งมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558
ดังนั้น จึงมีเหตุต้องร้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบว่า การที่นายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งนายชีพ และนายธานิศ เป็นกรรมการกฤษฎีกา ในขณะที่ทั้งสองคนเป็นองค์คณะในคดีนั้น เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา 13 หรือไม่ และจะเข้าข่ายมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 123/1 หรือไม่
ทั้งนี้ ทั้งกรรมการกฤษฎีกา และกรรมการปฏิรูปตำรวจเป็นหน่วยงานอื่นที่อยู่นอกศาลฎีกาอย่างชัดเจน แต่ต้องรอดูว่า พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา จะยังคงมีบทบัญญัติห้ามไว้หรือไม่ ซึ่งพบว่าในบทบัญญัติมาตรา 11 วรรคสี่ ของกฎหมายใหม่ ก็ยังคงบัญญัติห้ามมิให้มีคำสั่งให้ผู้พิพากษาในองค์คณะไปทำงานที่อื่นนอกศาลฎีกา เช่นเดียวกับที่กฎหมายเดิมห้ามไว้ ด้วยเหตุนี้ จึงจะนำข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่พบไปยื่นหนังสือด้วยตนเอง เพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการกระทำของนายกรัฐมนตรี และ/หรือ คณะรัฐมนตรี ในกรณีที่มีคำสั่งตั้งทั้งสองคนไปทำงานที่อื่นนอกศาลฎีกาดังกล่าวในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ เวลา 10.00 น. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ