วันนี้ (14 ก.ย.) ศาลอุทธรณ์เบิกตัวนาย ศุภชัย ศรีศุภอักษร อายุ 60 ปี อดีตประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ผู้อื่น และจัดการทรัพย์สินผู้อื่นโดยทุจริตในฐานะเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 และ 354 จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1739/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
คดีนี้อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2555 และที่ประชุมมีมติเลือกนายศุภชัย จำเลย เป็นประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์ชุดที่ 29 อยู่ในตำแหน่ง 2 ปี ต่อมานายทะเบียนสหกรณ์ได้ตรวจสอบพบว่าการเรียกประชุมใหญ่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับ และกฎหมาย นายทะเบียน จึงมีหนังสือลงวันที่ 23 เมษายน 2556 ไม่รับรองตำแหน่งประธานกรรมการจากการประชุมดังกล่าว ต่อมาสหกรณ์ยูเนี่ยนฯ ได้ประชุมใหญ่วิสามัญและมีมติให้การรับรองนายศุภชัย จำเลย เป็นประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์อีกครั้ง และยังเปิดประชุมคณะกรรมการดำเนินการชุดที่ 2 สมัยสามัญ ครั้งที่ 1/2556 และมีมติแต่งตั้งนายศุภชัย จำเลย ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการสหกรณ์ฯ อีกตำแหน่งด้วย กระทั่งวันที่ 10 เมษายน - 8 ตุลาคม 2556 จำเลย ซึ่งเป็นประธานกรรมการสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่นฯ ได้กระทำการทุจริต โดยให้เจ้าหน้าที่บัญชีเบิกเงินสดของสหกรณ์ ผู้เสียหาย หลายครั้งหลายหนรวม 8 ครั้งๆ ละระหว่าง 184,000-6,000,000 บาท รวม 22,132,000 บาท เข้าบัญชีของจำเลย หรือบุคคลที่ 3 โดยทุจริต เหตุเกิดที่ทำการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ จำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด
โดยคดีนี้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2559 จำเลยได้ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก, 353, 354 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 8 กระทง จำคุกกระทงละระหว่าง 3-5 ปี รวมจำคุก 32 ปี คำให้การจำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 16 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วนับเป็นเรื่องร้ายแรง โทษจำคุกจึงไม่มีเหตุให้รอลงอาญา
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ตามที่จำเลยอุทธรณ์ว่าได้ชดใช้ค่าเสียหายก่อนถูกฟ้องและผู้เสียหายได้รับเงินคืนแล้ว ถือเป็นเรื่องทางแพ่งที่มีการชดใช้ครบถ้วนแล้ว อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาจากการที่ได้ชดใช้ค่าเสียหายเมื่อปี 2557 ขอให้ปราณีจากการที่ศาลชั้นต้นลงโทษสูงไปนั้น อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น ส่วนอุทธรณ์ให้รอการลงโทษหรือไม่ ศาลเห็นว่าจำเลยเป็นประธานสหกรณ์ฯ เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน การที่จำเลยยักยอกทรัพย์มีผลกระทบต่อกิจการของสหกรณ์ ทำให้ขาดความไว้วางใจ การยักยอกทรัพย์ดังกล่าวยังทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง จนต้องฟื้นฟูกิจการ แม้มีการชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ก็ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ และที่จำเลยอุทธรณ์ในประเด็นข้อเท็จจริงไม่มีการยกมาว่ากล่าวตั้งแต่ศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบ 354 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน รวม 8 กระทง กระทงละ 1-2 ปี รวมจำคุก 14 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 7 ปี
คดีนี้อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2555 และที่ประชุมมีมติเลือกนายศุภชัย จำเลย เป็นประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์ชุดที่ 29 อยู่ในตำแหน่ง 2 ปี ต่อมานายทะเบียนสหกรณ์ได้ตรวจสอบพบว่าการเรียกประชุมใหญ่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับ และกฎหมาย นายทะเบียน จึงมีหนังสือลงวันที่ 23 เมษายน 2556 ไม่รับรองตำแหน่งประธานกรรมการจากการประชุมดังกล่าว ต่อมาสหกรณ์ยูเนี่ยนฯ ได้ประชุมใหญ่วิสามัญและมีมติให้การรับรองนายศุภชัย จำเลย เป็นประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์อีกครั้ง และยังเปิดประชุมคณะกรรมการดำเนินการชุดที่ 2 สมัยสามัญ ครั้งที่ 1/2556 และมีมติแต่งตั้งนายศุภชัย จำเลย ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการสหกรณ์ฯ อีกตำแหน่งด้วย กระทั่งวันที่ 10 เมษายน - 8 ตุลาคม 2556 จำเลย ซึ่งเป็นประธานกรรมการสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่นฯ ได้กระทำการทุจริต โดยให้เจ้าหน้าที่บัญชีเบิกเงินสดของสหกรณ์ ผู้เสียหาย หลายครั้งหลายหนรวม 8 ครั้งๆ ละระหว่าง 184,000-6,000,000 บาท รวม 22,132,000 บาท เข้าบัญชีของจำเลย หรือบุคคลที่ 3 โดยทุจริต เหตุเกิดที่ทำการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ จำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด
โดยคดีนี้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2559 จำเลยได้ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก, 353, 354 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 8 กระทง จำคุกกระทงละระหว่าง 3-5 ปี รวมจำคุก 32 ปี คำให้การจำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 16 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วนับเป็นเรื่องร้ายแรง โทษจำคุกจึงไม่มีเหตุให้รอลงอาญา
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ตามที่จำเลยอุทธรณ์ว่าได้ชดใช้ค่าเสียหายก่อนถูกฟ้องและผู้เสียหายได้รับเงินคืนแล้ว ถือเป็นเรื่องทางแพ่งที่มีการชดใช้ครบถ้วนแล้ว อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาจากการที่ได้ชดใช้ค่าเสียหายเมื่อปี 2557 ขอให้ปราณีจากการที่ศาลชั้นต้นลงโทษสูงไปนั้น อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น ส่วนอุทธรณ์ให้รอการลงโทษหรือไม่ ศาลเห็นว่าจำเลยเป็นประธานสหกรณ์ฯ เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน การที่จำเลยยักยอกทรัพย์มีผลกระทบต่อกิจการของสหกรณ์ ทำให้ขาดความไว้วางใจ การยักยอกทรัพย์ดังกล่าวยังทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง จนต้องฟื้นฟูกิจการ แม้มีการชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ก็ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ และที่จำเลยอุทธรณ์ในประเด็นข้อเท็จจริงไม่มีการยกมาว่ากล่าวตั้งแต่ศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบ 354 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน รวม 8 กระทง กระทงละ 1-2 ปี รวมจำคุก 14 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 7 ปี