วันนี้ (15 มิ.ย.) กรมการค้าต่างประเทศประกาศรายชื่อเอกชนที่สนใจยื่นซองเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติเข้าร่วมประมูลข้าวสารในสตอกรัฐ เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน กว่า 2.2 ล้านตัน ที่ผ่านการตรวจจริงครบทุกรายและปิดรับซองเมื่อเวลา 12.00 น. ปรากฏว่ามีเอกชนยื่นซองรวม 21 ราย ซึ่งข้าวที่นำมาเปิดประมูลรอบนี้อยู่ใน 167 คลัง 30 จังหวัด ประกอบด้วยข้าว 17 ชนิด เช่น ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ข้าวหอมจังหวัด และข้าวขาว 5% เป็นต้น หลังจากปิดการยื่นซองเวลา 12.00 น. กรมการค้าต่างประเทศจะเปิดซองเสนอราคาประมูลข้าวทันที และช่วงบ่ายนางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จะสรุปข้อมูลเบื้องต้นในการเสนอราคาซื้อข้าวให้กับสื่อมวลชนทราบกันต่อไป
สำหรับปริมาณข้าวในสตอกรัฐ ขณะนี้เหลือไม่ถึง 3 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวคุณภาพเพื่อการบริโภค เพียง 160,000 ตัน ข้าวเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนที่นำมาประมูลในล็อตนี้อีก 2.2 ล้านตัน และข้าวในกลุ่มที่ไม่ใช่ทั้งการบริโภคของทั้งคนและสัตว์ อีก 500,000 ตัน ที่จะนำออกมาประมูลต่อเนื่องเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อให้การระบายข้าวในสตอกหมดภายในปีนี้ตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ ประเมินว่าข้าวในตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น ดังนั้น การเสนอราคาซื้อข้าวในสตอกรัฐน่าจะได้ราคาดี และการระบายข้าวรัฐบาล คสช. ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ถึงขณะนี้ ระบายไปแล้ว 13.89 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 130,000 ล้านบาท ขณะที่การส่งออกข้าวตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ส่งออกข้าวแล้วทั้งสิ้นกว่า 5.3 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,274 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.09
สำหรับปริมาณข้าวในสตอกรัฐ ขณะนี้เหลือไม่ถึง 3 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวคุณภาพเพื่อการบริโภค เพียง 160,000 ตัน ข้าวเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนที่นำมาประมูลในล็อตนี้อีก 2.2 ล้านตัน และข้าวในกลุ่มที่ไม่ใช่ทั้งการบริโภคของทั้งคนและสัตว์ อีก 500,000 ตัน ที่จะนำออกมาประมูลต่อเนื่องเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อให้การระบายข้าวในสตอกหมดภายในปีนี้ตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ ประเมินว่าข้าวในตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น ดังนั้น การเสนอราคาซื้อข้าวในสตอกรัฐน่าจะได้ราคาดี และการระบายข้าวรัฐบาล คสช. ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ถึงขณะนี้ ระบายไปแล้ว 13.89 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 130,000 ล้านบาท ขณะที่การส่งออกข้าวตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ส่งออกข้าวแล้วทั้งสิ้นกว่า 5.3 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,274 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.09
