xs
xsm
sm
md
lg

รัฐบาลตั้งเป้าพัฒนาธุรกิจ รร.บูติกโฮสเทลขนาดเล็กรองรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมีเป้าหมายพัฒนาธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก โรงแรมบูติก และโฮสเทล ให้มีความเข้มแข็ง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่เดินทางมายังประเทศไทย และชื่นชอบแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและชุมชน โดยเน้นให้ผู้ประกอบการใช้ความคิดสร้างสรรค์ออกแบบตกแต่งสถานที่ ให้บริการด้วยความใส่ใจและใกล้ชิด ผสมผสานกับวิถีชีวิตแบบไทยอย่างลงตัว รวมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ให้บริการด้านต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความประทับใจแก่ผู้ใช้บริการอย่างครบวงจร

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้นำร่องพัฒนาธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในภาคเหนือ ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบการธุรกิจบริการท่องเที่ยว 128 ราย และธุรกิจโรงแรมบูติกและโฮสเทล 167 ราย พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการจับคู่เครือข่ายธุรกิจผ่านระบบออนไลน์ http://matching.smartthaibiz.com ทำให้ขณะนี้มีจำนวนผู้ประกอบในระบบประมาณ 3,000 ราย และจะขยายผลไปยังภาคอื่น ๆ ให้มีจำนวนมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงกฎหมายและผ่อนปรนกฎระเบียบให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาธุรกิจจากอาคารที่มีอยู่ โดยนำไปปรับเปลี่ยนเป็นธุรกิจโรงแรมที่ถูกต้อง ไม่จำกัดเฉพาะการมีพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อสร้างโรงแรมขนาดใหญ่ เป็นการสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มทุนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ทำให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่มากขึ้นถึงร้อยละ 30 ต่อปี ที่สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์นำเสนอให้เกิดความแตกต่างและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าด้วยว่า การสนับสนุนธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กทำให้มูลค่าทรัพย์สินของไทยสูงขึ้น เมื่ออสังหาริมทรัพย์ทั่วไปถูกแปรสภาพสู่ธุรกิจที่พักอาศัยเชิงการท่องเที่ยว และยกระดับมาตรฐานการให้บริการของโรงแรมทั่วประเทศ อีกทั้งยังช่วยให้เกิดธุรกิจต่อยอดลงไปในชุมชน เช่น ทัวร์พาชิมและทำอาหารท้องถิ่น ธุรกิจสปา การปลูกผักออร์แกนิค ฯลฯ โดยผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถขยายตลาดได้กว้างขวางผ่านโลกออนไลน์ได้อีกด้วย

ทั้งนี้ โรงแรมขนาดเล็กในปัจจุบันมีจำนวน 4,727 ราย จากธุรกิจโรงแรมทั้งหมด 8,384 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 56 โดยรัฐบาลตั้งเป้าพัฒนาและสร้างรายได้จากธุรกิจโรงแรมให้ได้ไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาทเช่นเดียวกับปี 2558 ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปีดังกล่าวมีมูลค่าสูงถึงกว่า 13.5 ล้านล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น