วันนี้ (10 พ.ค. )บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 189 วัน ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบาย
นายปรเมศวร์ แข็งแรง อายุ 36 ปี วิศวกรชาวกาฬสินธุ์ เดินทางจากบ้านที่ จ.สมุทรปราการ พร้อมภรรยา นางรัมภ์รดา แข็งแรง และคุณแม่ นางจงกลวรรณ คล้ายบุญมี มากราบพระบรมศพเป็นครั้งแรก กล่าวว่า เดินทางออกจากบ้านตั้งแต่ 05.00 น. ก่อนนำรถมาจอดที่สนามม้านางเลิ้งแล้วนั่งรถขนส่งมวลชนมาลงที่สนามหลวงประมาณ 06.00 น. ใช้เวลารอเข้าแถวกว่า 2 ชั่วโมง จึงได้เข้ากราบพระบรมศพ
ทั้งนี้มีความตั้งใจว่าต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต และถือวันนี้ซึ่งเป็นวันหยุดและเป็นวันพระใหญ่มากราบพระองค์กันทั้งครอบครัวถือเป็นบุญของชีวิตด้วย เพราะความรักที่มีต่อพระองค์ เห็นท่านทรงงานมาตลอดชีวิตของเรา จำได้ตอนเด็กๆ พระองค์เสด็จฯ ไปยัง จ.กาฬสินธุ์ แม้เห็นแค่ขบวนรถท่านผ่านก็ถือเป็นความประทับใจ และเป็นภาพติดตาว่าแม้ถิ่นทุรกันดารแบบนี้ ถนนที่เสด็จฯ เป็นหลุมเป็นบ่อ จนชาวบ้านเรียกว่าถนนดิสโก้ แต่หลังจากนั้น 3 ปี พื้นที่แถวนั้นที่แห้งแล้ง ไม่มีอะไรเลย ก็ค่อยๆ เริ่มพัฒนา ทำถนนใหม่ มีอ่างเก็บน้ำลำพะยังตอนบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทำให้ประชาชนมีน้ำกินน้ำใช้และน้ำทำการเกษตร จนเรียกได้ว่าตอนนี้เป็นอีสานเขียวจริงๆ
นอกจากนี้ ได้นำหลักคำสอนและยึดพระองค์เป็นแบบอย่างในเรื่องของความประหยัด โดยเห็นจากทรงใช้รองพระบาทของพระองค์ ทรงใช้ยาสีฟันจนหมดหลอด หรือทรงใช้นาฬิกาข้อมือคาสิโอเพียงเรือนเดียว ดังนั้นสิ่งของใดที่เสียเราก็พยายามซ่อมเอามาใช้ใหม่ รวมถึงการทำงานที่เราเป็นวิศวกรต้องพบเจอกับคนงานที่เขาอาจไม่มีความรู้มากนัก แต่เราทำงานกับเขาด้วยความเมตตา ไม่แบ่งแยกชนชั้น และรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ทำให้ดีที่สุด
นางพุมริน หมีป่า อายุ 41 ปี ชาว อ.เมือง จ.สมุทรปราการ มาพร้อมครอบครัว อาทิ ลูกสาว ด.ญ.ฉันท์ชนก หมีป่า อายุ 13 ปี มากราบพระบรมศพเป็นครั้งที่ 2 กล่าวว่า วันนี้สมาชิกครอบครัวหยุดและพร้อมใจกันมาแสดงความจงรักภักดีในหลวง ร.9 ที่ทรงพระราชทานโครงการพระราชดำริ ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างให้ประชาชนไปปฏิบัติใช้ ซึ่งตนก็น้อมนำมาปฏิบัติ อาทิ ใช้เงินอย่างมัสยัสถ์ ใช้ชีวิตพอเพียง ทำมาได้ 4 ปีแล้ว พบว่ามีเงินเก็บ และเงินใช้ในครอบครัวไม่ขัดสน จากแต่ก่อนไม่ค่อยรู้คุณค่าของเงิน
ขณะที่ ด.ญ.ฉันท์ชนก กล่าวว่า ประทับใจพระองค์ที่ทรงมีความคิดสร้างสรรค์ และทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่าง ซึ่งตนก็น้อมนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน อย่างเรื่องการใช้เงินประหยัด จะซื้ออะไรก็เก็บออมเอา อย่างไรก็ดี สำหรับสิ่งที่อยากเพื่อพระองค์คือ จะเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ในการทำตามความฝันที่อยากเป็นครูที่ดี เพื่อสร้างสังคมที่ดี
นายนิ่ม ตระกูลมั่งมูล อายุ 84 ปี ชาว อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง เดินทางมาพร้อมครอบครัว กล่าวด้วยสีหน้าดีใจหลังได้เข้ากราบพระบรมศพเป็นครั้งแรกของชีวิต ว่า เคยรับเสด็จในหลวง ร.9 ที่ศาลากลางจังหวัดลำปาง ซึ่งพระองค์เสด็จฯ ไปทรงงาน และเยี่ยมราษฎร ตอนนั้นประทับใจมากเพราะตนรับเสด็จในแถวหน้าสุด ได้ก้มกราบพระบาทใกล้ๆเมื่อพระองค์พระดำเนินผ่าน ทั้งนี้ ประทับใจพระองค์ที่ทรงมีโครงการพระราชดำริเกี่ยวกับการเกษตร ดิน น้ำ ตนซึ่งเคยเป็นชาวนามาก่อนก็ได้รับประโยชน์จากโครงการของพระองค์เช่นเดียวกับเกษตรกรในหลายๆจังหวัด ฉะนั้นเพื่อตอบแทนพระองค์ตนตั้งมั่นจะเป็นคนดี สอนลูกหลานให้เป็นคนดี รักกัน รวมถึงชวนไทยมารักกัน เพราะเรามีพ่อคนเดียวกัน
นายปรเมศวร์ แข็งแรง อายุ 36 ปี วิศวกรชาวกาฬสินธุ์ เดินทางจากบ้านที่ จ.สมุทรปราการ พร้อมภรรยา นางรัมภ์รดา แข็งแรง และคุณแม่ นางจงกลวรรณ คล้ายบุญมี มากราบพระบรมศพเป็นครั้งแรก กล่าวว่า เดินทางออกจากบ้านตั้งแต่ 05.00 น. ก่อนนำรถมาจอดที่สนามม้านางเลิ้งแล้วนั่งรถขนส่งมวลชนมาลงที่สนามหลวงประมาณ 06.00 น. ใช้เวลารอเข้าแถวกว่า 2 ชั่วโมง จึงได้เข้ากราบพระบรมศพ
ทั้งนี้มีความตั้งใจว่าต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต และถือวันนี้ซึ่งเป็นวันหยุดและเป็นวันพระใหญ่มากราบพระองค์กันทั้งครอบครัวถือเป็นบุญของชีวิตด้วย เพราะความรักที่มีต่อพระองค์ เห็นท่านทรงงานมาตลอดชีวิตของเรา จำได้ตอนเด็กๆ พระองค์เสด็จฯ ไปยัง จ.กาฬสินธุ์ แม้เห็นแค่ขบวนรถท่านผ่านก็ถือเป็นความประทับใจ และเป็นภาพติดตาว่าแม้ถิ่นทุรกันดารแบบนี้ ถนนที่เสด็จฯ เป็นหลุมเป็นบ่อ จนชาวบ้านเรียกว่าถนนดิสโก้ แต่หลังจากนั้น 3 ปี พื้นที่แถวนั้นที่แห้งแล้ง ไม่มีอะไรเลย ก็ค่อยๆ เริ่มพัฒนา ทำถนนใหม่ มีอ่างเก็บน้ำลำพะยังตอนบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทำให้ประชาชนมีน้ำกินน้ำใช้และน้ำทำการเกษตร จนเรียกได้ว่าตอนนี้เป็นอีสานเขียวจริงๆ
นอกจากนี้ ได้นำหลักคำสอนและยึดพระองค์เป็นแบบอย่างในเรื่องของความประหยัด โดยเห็นจากทรงใช้รองพระบาทของพระองค์ ทรงใช้ยาสีฟันจนหมดหลอด หรือทรงใช้นาฬิกาข้อมือคาสิโอเพียงเรือนเดียว ดังนั้นสิ่งของใดที่เสียเราก็พยายามซ่อมเอามาใช้ใหม่ รวมถึงการทำงานที่เราเป็นวิศวกรต้องพบเจอกับคนงานที่เขาอาจไม่มีความรู้มากนัก แต่เราทำงานกับเขาด้วยความเมตตา ไม่แบ่งแยกชนชั้น และรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ทำให้ดีที่สุด
นางพุมริน หมีป่า อายุ 41 ปี ชาว อ.เมือง จ.สมุทรปราการ มาพร้อมครอบครัว อาทิ ลูกสาว ด.ญ.ฉันท์ชนก หมีป่า อายุ 13 ปี มากราบพระบรมศพเป็นครั้งที่ 2 กล่าวว่า วันนี้สมาชิกครอบครัวหยุดและพร้อมใจกันมาแสดงความจงรักภักดีในหลวง ร.9 ที่ทรงพระราชทานโครงการพระราชดำริ ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างให้ประชาชนไปปฏิบัติใช้ ซึ่งตนก็น้อมนำมาปฏิบัติ อาทิ ใช้เงินอย่างมัสยัสถ์ ใช้ชีวิตพอเพียง ทำมาได้ 4 ปีแล้ว พบว่ามีเงินเก็บ และเงินใช้ในครอบครัวไม่ขัดสน จากแต่ก่อนไม่ค่อยรู้คุณค่าของเงิน
ขณะที่ ด.ญ.ฉันท์ชนก กล่าวว่า ประทับใจพระองค์ที่ทรงมีความคิดสร้างสรรค์ และทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่าง ซึ่งตนก็น้อมนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน อย่างเรื่องการใช้เงินประหยัด จะซื้ออะไรก็เก็บออมเอา อย่างไรก็ดี สำหรับสิ่งที่อยากเพื่อพระองค์คือ จะเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ในการทำตามความฝันที่อยากเป็นครูที่ดี เพื่อสร้างสังคมที่ดี
นายนิ่ม ตระกูลมั่งมูล อายุ 84 ปี ชาว อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง เดินทางมาพร้อมครอบครัว กล่าวด้วยสีหน้าดีใจหลังได้เข้ากราบพระบรมศพเป็นครั้งแรกของชีวิต ว่า เคยรับเสด็จในหลวง ร.9 ที่ศาลากลางจังหวัดลำปาง ซึ่งพระองค์เสด็จฯ ไปทรงงาน และเยี่ยมราษฎร ตอนนั้นประทับใจมากเพราะตนรับเสด็จในแถวหน้าสุด ได้ก้มกราบพระบาทใกล้ๆเมื่อพระองค์พระดำเนินผ่าน ทั้งนี้ ประทับใจพระองค์ที่ทรงมีโครงการพระราชดำริเกี่ยวกับการเกษตร ดิน น้ำ ตนซึ่งเคยเป็นชาวนามาก่อนก็ได้รับประโยชน์จากโครงการของพระองค์เช่นเดียวกับเกษตรกรในหลายๆจังหวัด ฉะนั้นเพื่อตอบแทนพระองค์ตนตั้งมั่นจะเป็นคนดี สอนลูกหลานให้เป็นคนดี รักกัน รวมถึงชวนไทยมารักกัน เพราะเรามีพ่อคนเดียวกัน